ในความเห็นแรกเห็นว่า โลกาภิวัตน์สามารถช่วยลดความยากจนของประชาชนในประเทศที่กำลังพัฒนา (Developing Country) ได้แต่จะเป็นการดียิ่งขึ้นในการช่วยประเทศที่ยากจนที่สุด (Poorest Country) ซึ่งแนวความคิดนี้เห็นว่าโลกาภิวัตน์สามารถช่วยพัฒนาความเป็นอยู่และรายได้ของประชากรในประเทศเหล่านี้และหวังว่าประชาชนควรให้ความร่วมมือด้วยอย่างมาก ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้วพบว่าประเทศกำลังพัฒนา 24 ประเทศที่เข้าร่วมในเศรษฐกิจระดับโลกในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา (ช่วงปี1990) ได้ประสบความสำเร็จในด้านของรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ทั้งนี้รวมไปถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและมาตรฐานการศึกษาที่สูงขึ้นดีขึ้น
ประเทศกำลังพัฒนาเหล่านี้ ได้แก่ ประเทศจีน อินเดีย ฮังการี และเม็กซิโก ได้รับมาซึ่งนโยบายทางการเมืองและสถาบันที่เอื้ออำนวยให้ประชากรได้รับผลประโยชน์จากตลาดการค้าโลก และยังรวมถึงการเพิ่มของรายได้เฉลี่ยต่อหัว (GDP) ของประชากรในประเทศด้วย ดังนั้นประเทศที่กล่าวถึงเหล่านี้ประชากรได้ทราบถึงประโยชน์และรายได้ที่มากเพิ่มขึ้น และจำนวนความยากจนของประชากรที่ลดจำนวนลง
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าทุกประเทศที่เข้าร่วมทางเศรษฐกิจจะประสบความสำเร็จในระบบเศรษฐกิจโลก ประชากรประมาณสองพันล้านคนที่เข้าร่วม เช่นในประเทศแถบแอฟริกา (Sub-Saharan Africa) ประเทศแถบตะวันออกกลาง ประเทศที่เคยเป็นสหภาพโซเวียตเก่า และคนที่อาศัยอยู่ในประเทศที่ถูกมองข้าม ประเทศที่กล่าวถึงเหล่านี้ไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะนำตัวเองให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโลกได้ เพราะฉะนั้นอัตราส่วนของการค้าขายแลกเปลี่ยนทางการค้าระหว่างประเทศจึงยังคงที่อยู่หรือมิเช่นนั้นก็ลดลง กล่าวคือสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศเหล่านี้ความยากจนเพิ่มมากขึ้น ระดับการศึกษาก็พัฒนาขึ้นน้อยกว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่ปรับตัวเข้ากับกระแสเศรษฐกิจแบบโลกาภิวัตน์ได้ดีกว่า เพราะฉะนั้นจะเป็นการดีที่ประเทศที่ยากจนควรพัฒนาและปรับปรุงสภาพแวดล้อมซึ่งเป็นปัจจัยที่เอื้ออำนวยแก่การลงทุนมากเพิ่มขึ้น(Investment Climate) และควรสนับสนุนให้ประชาชนที่มีฐานะยากจนให้มีการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและควรได้มาซึ่งโอกาสอันได้เปรียบของการปรับปรุงส่งเสริมการลงทุนเช่นว่านี้
ในการปรับปรุงสภาวะแวดล้อมที่เป็นการส่งเสริมการลงทุนในประเทศที่กำลังพัฒนาเพื่อเป็นการสนับสนุนการลงทุนและการสร้างงาน ต้องมีหลักธรรมภิบาลในการบริหารที่ดีทางด้านเศรษฐกิจ (Economic Governance), มาตรการในการต่อสู้กับการคอรัปชั่น (Combat Corruption), ปรับปรุงระบบการทำงานและขั้นตอนการบังคับบัญชาของหน่วยงานราชการ, การปกป้องทางทรัพย์สินทางปัญญา สิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (Small and Medium-sized firms) ซึ่งธุรกิจที่กล่าวนี้คือกุญแจสำคัญในการสร้างและยกระดับมาตรฐานชีวิตของพื้นที่ยากจนที่อยู่ห่างไกลออกไป (rural poor area)
แม้ว่าจะได้กล่าวมาถึงกระแสโลกาภิวัตน์ในหลายๆด้านแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นการยากที่จะให้ความหมายเฉพาะเจาะจงของความสัมพันธ์ระหว่างกระแสโลกาภิวัตน์และความก้าวหน้าพัฒนาทางสังคม โลกาภิวัตน์เป็นหัวข้อที่มีการอภิปรายถกเถียงกันมากที่สุดหัวข้อหนึ่งในเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการพัฒนาการของสังคมในช่วงปี 1990 กระแสโลกาภิวัตน์เป็นสิ่งที่น่าพอใจและส่งผลดีต่อประชาชนและสังคมโดยทั่วไป แต่ในขณะเดียวกันบางคนเห็นว่าโลกาภิวัตน์เปรียบเสมือนพลังผลักดันไปสู่ความหรูหรารุ่งเรืองและให้ประเทศที่ยากจนกว่า (Poorer Countries) พยายามก้าวทันไปกับเศรษฐกิจโลกโดยที่ตัวเองยังไม่พร้อม ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศกำลังพัฒนาโดยทั่วไปมองโลกาภิวัตน์ว่าเป็นเสมือนสิ่งที่จำเป็นในการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ และปัญหาที่จะเกิดขึ้นคือในระดับประเทศ (Domestic)โลกาภิวัตน์จะทำให้ส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อคนชั้นทำงานในเรื่องสวัสดิการสังคม และอาจก่อให้เกิดความไม่เสมอภาคในสังคม ซึ่งปัญหาในเรื่องนี้อาจก่อให้เกิดผลกระทบได้ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่กำลังพัฒนาได้เหมือนๆ กัน
สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้วคือเรื่องเกี่ยวกับการแข่งขันการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากประเทศที่กำลังพัฒนา ส่วนประเทศที่กำลังพัฒนาความกลัวที่เกิดคือการกลัวที่จะไม่สามารถสู้ประเทศที่พัฒนาแล้วได้ในสภาวะการแข่งขันอย่างเสรีและจะทำให้เกิดช่องว่างที่ต่างกันทางเศรษฐกิจในระบบเศรษฐกิจโลกและความกังวลระหว่างกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาว่าโลกาภิวัตน์จะทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศตนอ่อนแอมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจสากลโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกรอบของการส่งออกของประเทศยังไปในลักษณะแคบๆ แต่ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในกรอบของการค้าขายแลกเปลี่ยนได้รับการตอบรับอย่างสูง
ปัญหาอีกประการหนึ่ง คือ ความไม่แน่นอนในระบบเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นที่มีการนำมาลงทุนในประเทศ ซึ่งอาจมีผลเสียกล่าวคือ สถาบันการเงินภายในประเทศไม่แข็งแรงพอที่จะต้านรับไหว (ฐานการเงินของเราอาจจะไม่แข็งแรงพอที่จะต้านรับเงินทุนก้อนใหญ่ที่เข้ามาอย่างรวดเร็วจากต่างประเทศในช่วงระยะเวลาสั้นๆ กล่าวคือ ความไม่พร้อมนั่นเอง) ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการขึ้นลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
วิกฤติการณ์เรื่องกระแสโลกาภิวัตน์ได้เกิดขึ้นในเศรษฐกิจแบบสมัยใหม่ กล่าวคือ เกิดการแข่งขันกันระหว่าง ระบบเศรษฐกิจแบบใช้ค่าจ้างแรงงานต่ำ กับ ระบบเศรษฐกิจที่ใช้ค่าจ้างแรงงานสูง และลดปริมาณการใช้แรงงานที่ไร้ฝีมือ ในขณะที่เศรษฐกิจยังคงพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ และกระแสโลกาภิวัตน์ก็เป็นหนึ่งในแนวโน้มของโลกที่ยังเดินหน้า แนวโน้มหนึ่งข้อในทั้งหมดก็คือเศรษฐกิจโลกอุตสาหกรรมกำลังเติบโตเต็มที่และโลกปัจจุบันก็เปลี่ยนไปเป็นการจ้างแรงงานที่มีฝีมือ
ในความเป็นจริง กระแสโลกาภิวัตน์ได้ทำให้กระบวนการต่างๆ ของโลกง่ายขึ้น และราคาถูกลง โดยนำผลกำไรและประโยชน์ให้กับรูปแบบการลงทุนแบบทุนนิยม นวัตกรรม เทคโนโลยีและราคาที่ถูกลงของสินค้านำเข้า โดยทั่วไประบบของเศรษฐกิจ การจ้างงาน และมาตรฐานการครองชีพของกลุ่มประเทศโลกอุตสาหกรรมย่อมจะดีกว่าประเทศที่เป็นเศรษฐกิจระบบปิด แต่ได้รับประโยชน์ในรูปแบบของกระแสโลกาภิวัตน์ในกลุ่มประเทศต่างๆ นั้นจะไม่เท่ากัน บางประเทศจะสูญเสียผลประโยชน์และยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่ประเทศอุตสาหกรรมได้
นโยบายตอบสนองที่เหมาะสมสำหรับกระแสโลกาภิวัตน์ในประเทศต่างๆ
รัฐบาลควรปกป้องผลประโยชน์ให้กับกลุ่มที่เสียเปรียบ เช่น กลุ่มแรงงานไร้ฝีมือที่ได้ค่าแรงต่ำ หรือรัฐบาลควรเข้มงวดกับเรื่องสินค้านำเข้า หรือรัฐบาลควรจะเข้มงวดกับการค้าขายแลกเปลี่ยนและนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในประเทศ โดยทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเรื่องการแก้ปัญหาแบบระยะสั้นเท่านั้น สำหรับนโยบายที่รัฐบาลควรจะทำก็คือ เสริมสร้างความผสมกลมกลืนเรื่องกระแสโลกาภิวัตน์ให้กับประเทศตน ในขณะเดียวกันก็ควรจะดูแลแรงงานประเภทได้ค่าจ้างแรงงานต่ำและได้รับผลกระทบกับการเปลี่ยนแปลงนี้ อีกทั้งควรส่งเสริมระบบเศรษฐกิจแบบเปิดให้มีการค้าได้โดยเสรี เพื่อให้มีการแบ่งปันผลประโยชน์กันอย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นนโยบายของรัฐบาลควรจะเป็น 2 สิ่งสำคัญ ดังนี้
- เน้นฝึกฝนวิชาชีพ และให้การศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติม จุดประสงค์เพื่อให้แรงงานทั้งหลายได้พัฒนาฝีมือของตนให้เหมาะสมกับกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
- ต้องมีระบบการวางแผนที่ดีด้านสวัสดิการทางสังคม สำหรับช่วยเหลือกลุ่มแรงงานในกรณีที่ไม่มีงานทำ
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วงปี 1990 ที่เกิดใน เม็กซิโก ไทย อินโดนีเซีย เกาหลี รัสเซีย และบราซิล เป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ของโลกาภิวัตน์ จะเห็นได้ชัดว่า ช่วงวิกฤติทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยถ้าไม่มีการเปิดกว้างของตลาดทุนโลกและในขณะเดียวกันประเทศเหล่านี้ก็จะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เลยในการพัฒนาการการเติบโตของประเทศหากไม่มีเงินทุนที่ไหลเวียนเข้ามา ซึ่งวิกฤติการณ์ที่ซับซ้อนนี้เป็นผลมาจากข้อบกพร่องทางด้านนโยบายของรัฐและระบบการเงินระดับประเทศ ซึ่งปัจเจกบุคคลรวมทั้งสังคมระดับประเทศควรระวังและลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
ส่วนวัตถุประสงค์ของทิศทางเศรษฐกิจระดับโลก คือ พยายามทำให้โครงสร้างของเศรษฐกิจและการเงินมั่นคงขึ้น วัตถุประสงค์โดยกว้างๆ คือ ให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีประสิทธิผลเพิ่มขึ้น ซึ่ง IMF เป็นจุดศูนย์กลางและมีบทบาทสำคัญของกระบวนการนี้
ที่มา http://www.baanjomyut.com
โลกาภิวัตน์ มีขอบเขตของความหมายที่กว้างขวางและครอบคลุมทุกมิติอันเกิดจากขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ของมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง กฎหมาย เทคโนโลยี การสื่อสาร รวมทั้งระบบสิ่งแวดล้อม เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เราสามารถแยก โลกาภิวัตน์ของแต่ละด้านได้ดังต่อไปนี้
โลกาภิวัตน์ทางด้านเศรษฐกิจ (Globalization of the Economy)
จากการค้นคว้าจากเอกสารหรือบทความทางวิชาการ พบว่าส่วนใหญ่ จะกล่าวถึง การผสมผสานกันระหว่างอุดมการณ์ระบบการตลาดแบบเสรีนิยม (Liberalism) กับ ความเจริญก้าวหน้าของการติดต่อสื่อสารรวมทั้งเทคโนโลยีการขนส่งซึ่งทำให้เกิดการเคลื่อนย้าย สินค้า บริการ และเงินทุน จากประเทศที่เป็นแกนกลางแห่งการพัฒนาโลก (Core Countries) อันหมายถึงประเทศที่พัฒนาแล้วทางตะวันตก อาทิเช่น สหรัฐอเมริกา ไปยังประเทศที่อยู่ระหว่างกึ่งชายขอบ (Semi-Periphery) ซึ่งหมายถึง ประเทศที่กำลังพัฒนา และประเทศที่อยู่ชายขอบแห่งการพัฒนา (Periphery) ซึ่งหมายถึงประเทศด้อยพัฒนา ตามลำดับ
ชาติตะวันตกต้องการที่จะเปิดตลาดโลกสำหรับสินค้าที่ตนผลิตขึ้นและกอบโกยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร แรงงานราคาถูกจาก ประทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา ผ่านทางการกำหนดนโยบายของผู้เรืองอำนาจในประเทศอันเอื้อประโยชน์ให้แก่การแสวงหาผลประโยชน์ บรรดาประเทศเหล่านี้จะใช้กฎ ระเบียบของสถาบันการเงินระหว่างชาติรวมทั้งข้อตกลงทางการค้าเพื่อบีบบังคับให้บรรดาประเทศที่ยากจนต้องถูกผนวกและลดกำแพงภาษีนำเข้า ยอมปล่อยให้กิจการของรัฐตกอยู่ภายใต้การบริหารงานของต่างชาติ ย่อหย่อนในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรวมทั้งรวมทั้งการลดมาตรฐานการครองชีพของแรงงานฝีมือและไร้ฝีมือ ซึ่งทำให้ได้กำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำ ทว่า ให้ผลตอบแทนเพียงน้อยนิดแก่ผู้ใช้แรงงานจนทำให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับเชิงปฏิเสธความไม่เท่าเทียมกัน(Inequity) การถูกครอบงำจากประชารัฐที่เหนือกว่าในทุกๆด้าน
โลกาภิวัตน์ ทางด้านเศรษฐกิจ(Globalization of Economy)
จึงหมายถึง บริเวณใดบริเวณหนึ่งบนพื้นโลกที่มีการปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ เชื่อมโยงกันจนเป็นอาณาบริเวณที่กว้างขวาง โดยโลกเศรษฐกิจจะไม่มีพรมแดนในลักษณะที่สอดคล้องกับการแบ่งเขตเกี่ยวข้องกับดินแดนหรืออาณาเขต ซึ่งเป็นเรื่องของรัฐ (State) แต่เป็นเขตแดนทางเศรษฐกิจ โดย โลกาภิวัตน์ในความหมายนี้ จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ โดยมีเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศเป็นกลไกที่สำคัญที่ผลักดันให้กลายเป็นกระแสของการแผ่ขยายอิทธิพลทางการค้าของประเทศที่แข็งแรงกว่าเข้าครอบงำประเทศที่อ่อนแอกว่า โลกาภิวัตน์ทางด้านเศรษฐกิจจะเกี่ยวข้องกับสิ่งต่อไปนี้คือ
ทุน (Capital)
เศรษฐกิจโลกซึ่งจะต้องเป็นไปตามอุดมการณ์ของลัทธิทุนนิยม (Capitalism) ภายใต้การแข่งขันในลักษณะเสรีนิยม (Liberalism) ซึ่งเป็นลักษณะเศรษฐกิจของโลกตะวันตกที่มีเนื้อหาเน้นการสะสมทุนและการค้าแบบเสรี โดยต่างก็จะให้มีการเปิดการค้าระหว่างประเทศให้เป็นการค้าที่ไร้พรมแดนแต่ภายใต้การค้าเสรีนี้ ความได้เปรียบของบริษัทข้ามชาติ ก็จะมีมากกว่า ซึ่งเป็นความเสรีที่ไม่เท่าเทียมกัน ทุนจะมีการเคลื่อนย้ายไปยังประเทศต่างๆของโลกที่ให้เงื่อนไขและผลประโยชน์ที่ได้กำไรสูงสุด
การครอบงำผ่านทางข้อมูล-ข่าวสาร (Information Hegemony)
การปฏิวัติทางเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้มีการเชื่อมโยงสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็ว โลกถูกเชื่อมด้วยข้อมูลข่าวสารและมักเป็นข้อมูลข่าวสารฝ่ายเดียวจากโลกตะวันตก หรือจากประเทศซึ่งมีอำนาจเศรษฐกิจและการทหารที่เหนือกว่า โดยการครอบงำและสร้างกระแสข่าวตามที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเมืองและเศรษฐกิจของตะวันตก เป็นการครอบงำทางข่าวสาร และวัฒนธรรมซึ่งมีผลต่อความเชื่อของมนุษยชาติในการที่จะต้องบริโภคข่าวสาร, การบริโภคสินค้า, บริการ และวัฒนธรรมของตะวันตกนั้นและเชื่อว่าการบริโภคนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
3) ค่านิยม (Value)
โลกาภิวัตน์ได้สร้างค่านิยมผ่านทางข้อมูลข่าวสาร โดยแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ กล่าวคือ
- ค่านิยมทางการเมือง
ทุกประเทศในโลกต้องเป็นแนวประชาธิปไตยแบบตะวันตก ซึ่งประเทศต่างๆ หากจะต้องมีรูปแบบการเมืองการปกครองในแบบเดียวกัน มิฉะนั้นก็จะถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ หรือใช้กำลังทหารเข้าไปปลดปล่อยให้เป็นประชาธิปไตย โดยไม่สนใจต่อความพร้อมหรือวิถีชีวิตของคนในประเทศเหล่านั้น ซึ่งการเมืองในระบบประชาธิปไตย เมื่อถูกผ่านการครอบงำผ่านทางข้อมูลข่าวสารจากโลกตะวันตก ก็จะทำให้ประชาชนมีค่านิยมที่จะเลือกผู้นำที่มีแนวความคิดแบบการค้าเสรีหรือเป็นนายทุนเศรษฐกิจแบบตะวันตกไปเป็นรัฐบาล ซึ่งก็จะมีการแก้ไขกฎเกณฑ์ กฎหมาย เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทข้ามชาติสามารถเข้าไปแข่งขันกับธุรกิจท้องถิ่น ซึ่งมีความอ่อนแอกว่า ซึ่งจะมีผลต่อจะต้องมีการพึ่งพาโลกตะวันตก
- ค่านิยมทางเศรษฐกิจ
โลกจะมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ มีการแบ่งงานกันทำ (Division of Labor) โดยถือหลักการว่าที่ไหนถูกก็ผลิตหรือซื้อที่นั่น โดยต่างฝ่ายจะใช้มาตรการทางภาษีให้มีน้อยที่สุด โดยโลกตะวันตกก็จะมีการปกป้องธุรกิจที่ไม่สามารถแข่งขันกันได้ในรูปแบบของการกีดกันทางการค้า ในแบบที่เรียกว่า Non Tariff Barrier (NTB) การค้าของโลกจะตกอยู่ภายใต้กติกาขององค์กรการค้าโลก (World Trade Organization - WTO) ที่โลกตะวันตกไม่กี่ประเทศเป็นผู้บงการ และข้อตกลงในลักษณะที่เป็นทวิภาคี ได้แก่ ที่มาในรูปแบบของเขตการค้าเสรี (Free Trade Area –FTA) ซึ่งหาก WTO ไม่สามารถเอื้อประโยชน์ก็จะมีการทำข้อตกลงความร่วมมือในระดับภูมิภาค ยกตัวอย่างเช่น เขตการค้าเสรีอาเซียน (Asian Free Trade Area - AFTA ), ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเอเชีย-แปซิฟิค (Asia-Pacific Economic Cooperation - APEC) เป็นต้นดังนั้น การค้าเสรีของ Globalization นั้นจึงเป็นความเสรีบนความไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งไม่ใช่ความยุติธรรมทางการค้า
- ค่านิยมทางสังคม
โดยการครอบงำทางสังคมวัฒนธรรม โดยผ่านทางข้อมูลข่าวสาร ทำให้การค้าของโลกจะเกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิมนุษยชน (Human Right) การบริโภคนิยม (Consumerism) การนิยมวัตถุ (Materialism) รวมถึงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Environment) ซึ่งจะอนุรักษ์เฉพาะในสิ่งที่ประเทศด้อยพัฒนาไม่พร้อม แต่โลกตะวันตกพร้อม
- ค่านิยมการปกป้องทางการค้า (Protectionism)
การค้าโลกาภิวัตน์ จะเกิดขึ้นพร้อมกับการปกป้องทางการค้าในรูปแบบของลิขสิทธิ์ ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของลิขสิทธิ์ก็จะมาจากโลกตะวันตก ซึ่งจะใช้ลิขสิทธิ์เป็นเครื่องมือในการปกป้องสินค้าและบริการ นอกเหนือจากนี้การใช้มาตรการทางด้านการเงิน ผ่านกองทุนต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund - IMF) หรือ ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank - ADB )และฯลฯ ซึ่งองค์กรทางด้านเศรษฐกิจระดับโลกเหล่านี้มักจะมีเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจข้ามชาติ ก็จัดเป็นส่วนหนึ่งของการปกป้อง รวมทั้งการใช้มาตรการที่ป้องกันผู้ก่อการร้ายของก็อยู่ในกระแสของโลกาภิวัตน์เช่นกัน
อีกความหมายหนึ่งของโลกาภิวัตน์ทางด้านเศรษฐกิจ คือ การที่โลกเราเป็นโลกไร้พรมแดน เป็นโลกที่เรียกว่า Borderless World คือ เป็นโลกของการไหลเวียนทางสินค้า การเงินและการบริการ หรือเป็นยุคที่เรียกว่า Free Trade คือ ยุคการค้าเสรี “โลกาภิวัตน์” เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกที่ทั่วโลกในสังคมปัจจุบัน ไม่ว่าจะในแง่มุมทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม กระแสโลกาภิวัตน์ได้แทรกซึมเข้าไปและส่งผลกระทบให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆ โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจเพราะเกิดการโต้เถียงกันถึงผลของโลกาภิวัตน์ว่าเป็นตัวการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านความร่ำรวยและความยากจนในแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นเกี่ยวกับการแพร่กระจายของกระแสโลกาภิวัตน์นี้ก็แตกต่างกันออกไปตามความคิดของคนซึ่งอยู่ต่างสังคมกัน
ดังนั้นกระแสโลกาภิวัตน์จึงส่งผลเด่นชัดในแง่มุมของเศรษฐกิจเพราะกระแสโลกาภิวัตน์เกิดจากการพัฒนาของระบบทุนนิยมนั่นเอง เพราะฉะนั้นการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ และสังคมรอบโลกเป็นผลมาจากการเกิดการหมุนเวียนของสินค้าและการให้บริการ เงินทุน คนและการพัฒนาการทางความคิดต่างๆ กระบวนการเหล่านี้เป็นผลมาจากนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นโดยมนุษย์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถเห็นได้ชัดเจนจากการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าขายแลกเปลี่ยนและการหมุนเวียนทางด้านการเงิน การเติบโตทางกิจกรรมการค้าขายระหว่างประเทศนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายแบบ กิจกรรมการค้าขายนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นการค้าขายระหว่างบรรษัทข้ามชาติใหญ่ๆ เท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบและระดับชั้นเช่น การค้าขายระหว่างพ่อค้าปลีกตามแนวพรมแดน ไทย-พม่า เพราะกิจกรรมการค้าขายเหล่านี้เป็นแรงผลักดันส่วนหนึ่งของกระแสโลกาภิวัตน์เช่นกัน หรือที่เรียกว่า “Cross-border economic activities”
“Economic Globalization” คือ กระบวนการการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วระหว่างประเทศ กระบวนการเหล่านี้ถูกผลักดันให้ขับเคลื่อนโดยการค้าระหว่างประเทศ (International Trade) การนำเงินเข้ามาลงทุนของต่างชาติ (Foreign Direct Investment) และโดยระบบเงินทุนที่หมุนเวียน กระบวนการเหล่านี้แสดงออกในตัวมันเองในรูปแบบของกิจกรรมต่างๆ ดังต่อไปนี้
- การค้าขายแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศทางสินค้าและบริการ(International Trade of Goods and Services)
การเติบโตของประเทศที่นำเข้าซึ่งสินค้าและบริการมาจากต่างประเทศ และการเพิ่มมากขึ้นของประเทศที่ส่งสินค้าออกขายนอกประเทศ และจากสถิติของ World Bank’s World Development Indicators 2000 การค้าขายแลกเปลี่ยนทางการค้าไม่ว่าจะเป็นประเทศที่ร่ำรวย หรือประเทศที่กำลังพัฒนา (Developing Country) ต่างมีสถิติตัวเลขที่ทวีมากเพิ่มขึ้น
- การลงทุนจากต่างชาติ (Foreign Direct Investment and Short-term Flows)
การที่บริษัทที่สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ประทศใดประเทศหนึ่งและมาลงทุนในการดำเนินธุรกิจยังประเทศอื่นที่ ทำให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนขึ้นในประเทศนั้นๆ ทำให้หลายๆ ประเทศที่ต้องการเงินสนับสนุนลงทุนจากต่างชาติมีนโยบายมาสนับสนุนและเพิ่มความสะดวกสบายแก่นักลงทุนชาวต่างชาติมากเพิ่มขึ้น
- การหมุนเวียนของตลาดทุน (Capital Market Flows)
ในหลายๆ ประเทศ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่กำลังพัฒนา) การออมของประชาชน (saving) มีมากเพิ่มขึ้นในหลายรูปแบบ เช่น การซื้อพันธบัตรต่างชาติและพยายามไม่ลงทุนมากนักเพราะต้องการเก็บรวมทรัพย์สินของตนไว้ด้วยกัน เป็นผลให้ผู้กู้ยืม(Borrower) ที่มีมากเพิ่มขึ้น ต่างต้องหันไปหาแหล่งเงินกู้จากต่างประเทศพร้อมๆ กันกับที่หาในประเทศ
ปัจจุบันแม้ว่าคำว่า “โลกาภิวัตน์” จะใช้กันอย่างกว้างขวาง แต่ความหมายก็ไม่ได้ชัดเจนครอบคลุมโดยทั้งหมดและส่วนใหญ่มักจะกล่าวถึงโลกาภิวัตน์ในด้านของกระบวนการการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศซึ่งเกิดจากการค้าขายแลกเปลี่ยนทางการค้า การลงทุนและเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งมากพอๆกับการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของวิวัฒนาการทางเทคโนโลยี เพราะฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า โลกาภิวัตน์เกี่ยวข้องกับในทุกด้าน ทั้งทางด้านธุรกิจ แรงงาน สินค้า และบริการ
ดังนั้น ปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงโลกาภิวัตน์ จึงเกี่ยวพันและส่งผลถึงสภาพเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่ และหัวข้อที่องค์กรและกลุ่มคนส่วนใหญ่กล่าวถึงคงไม่พ้นในเรื่อง “กระแสโลกาภิวัตน์ : ความยากจนและความไม่เท่าเทียมกัน” (Globalization : Poverty and Inequality) ซึ่งได้โต้แย้งและมีความคิดเห็นแบ่งแยกเป็นสองฝ่ายในเรื่องนี้ เพราะฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าการเปิดตลาดเสรีนำไปสู่ความมั่งคั่ง และการแข่งขันทำให้นำไปสู่นวัตกรรมใหม่ๆ, ความก้าวหน้า, ราคาสินค้าที่ต่ำลง, ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น แต่ขณะเดียวกันกลับมีความเห็นขัดแย้งว่าความเจริญก้าวหน้า การเปิดการค้าเสรีซึ่งเป็นผลทำให้มีการแข่งขันสูงและเป็นเหตุให้เกิดภาวะการแข่งขันในการลดราคาสินค้าทำให้เกิดผลกระทบกับธุรกิจขนาดเล็กซึ่งไม่สามารถต้านทานแรงขายปริมาณมากในราคาขายต่ำของธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งมีเงินทุนมากไว้ได้ ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กนั้นต้องล้มไป
โลกาภิวัตน์ทางด้านสังคม( The social dimension of globalization)
โลกาภิวัตน์ทางด้านสังคม หมายถึง ผลกระทบของโลกาภิวัตน์ที่มีต่อวิถีชีวิตส่วนบุคคล ครอบครัว อาชีพการงาน รวมทั้งชีวิตทางสังคมของผู้คน ประเด็นเน้นหนักจะเกี่ยวข้องกับการทำงาน สภาพการทำงาน รายได้ และการคุ้มครองหรือสวัสดิการสังคม นอกเหนือไปจากนั้น มิติทางด้านสังคมจะครอบคลุมถึง ความปลอดภัยในทรัพย์สิน วัฒนธรรมรวมทั้งอัตลักษณ์ ความสามัคคีการแตกแยก รวมทั้งความสมานฉันท์สามัคคีในครอบครัวและชุมชน
โลกาภิวัตน์ทางด้านสังคมจะมุ่งไปสู่การขจัดปัญหาการว่างงาน ความอยุติธรรม ความไม่เสมอภาค รวมทั้งความยากจน และความยั่งยึนของโลกาภิวัตน์ทุกด้านทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรมและกฎหมาย จะบังเกิดสัมฤทธิ์ผลของโลกาภิวัตน์ขึ้นได้ก็ต่อเมื่อกระแสโลกาภิวัตน์นั้นสนองตอบต่อความต้องการของคนในสังคมในภาพรวม
โลกาภิวัตน์ทางด้านวัฒนธรรม (Globalization of Culture )
การแพร่กระจายของค่านิยม บรรทัดฐาน และวัฒนธรรมตะวันตกจะยิ่งช่วยส่งเสริมแนวคิดแบบทุนนิยมตะวันตก และทำให้วัฒนธรรมท้องถิ่นตกเป็นเหยื่อของวัฒนธรรมการบริโภค เอาชนะจิตสำนึกและจิตวิญญาณ รวมทั้งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของชุมชน
ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทุกด้าน อาทิเช่น การติดต่อสื่อสารทางอินเทอร์เน็ท ดาวเทียม เคเบิลทีวี จะทำลายกำแพงแห่งวัฒนธรรม รายการสาระและบันเทิงจะค่อยๆพัฒนาการรับรู้และความใฝ่ฝันตามความนิยมชมชอบไม่ว่าจะอยู่แห่งใดในโลก ในขณะเดียวกันกับที่ ค่อยๆแทรกซึม ค่านิยม บรรทัดฐาน และวัฒนธรรมที่มีแนวโน้มเอื้อหนุนต่ออุดมการณ์แบบทุนนิยมตะวันตก วัฒนธรรมดั้งเดิมอาจจะตกเป็นเหยื่อ อุดมการณ์บริโภคนิยมจะมีชัยต่อจิตสำนึกชุมชนและความสมานฉันท์สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในสังคม
โลกาภิวัตน์ทางด้านกฏหมาย (Globalization of Law )
ในอดีต กฎหมายเป็นเครื่องมือของรัฐ-ชาติ ซึ่งศาลสถิตย์ยุติธรรมและเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะตำรวจจะเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติในการปกครอง ในลักษณะตรงกันข้าม กฎหมายระหว่างประเทศค่อนข้างจะอ่อนแอรวมทั้งมีอำนาจในการบังคับให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมายค่อนข้างด้อยประสิทธิภาพ
ทว่าโลกาภิวัตน์ทางด้านกฎหมาย ซึ่งหมายถึง การเปลี่ยนแปลงโครงร่างของกฎหมายรวมทั้งการสถาปนาบรรทัดฐานและสถาบันทางด้านกฎหมายของโลก ศาลอาญาของโลก ให้สัตยาบันว่าจะสร้างความยุติธรรมให้แก่บุคคลแห่งรัฐ บนพื้นฐานแห่งกฎหมายอาญาทั่วโลก ในขณะเดียวกันกับที่ความร่วมมือระหว่ารัฐต่อรัฐได้ทำให้เกิดการทดลองใช้ความผิดทางอาญาที่มีความชัดแจ้งร่วมกันว่าเป็นการกระทำความผิด
การเปลี่ยนแปผลงทางด้านกฎหมายทางธุรกิจไปสู่ระดับโลก จะก้าวหน้ามากกว่ากฎหมายอย่างอื่นด้วยเหตุที่หลายประเทศได้บรรลุข้อตกลง กฎ กฎหมายรวมทั้งการปฏิบัติให้เป็นไปตามาตรฐานเดียวกัน ทูตพาณิชย์จากหลายประเทศรวมทั้งผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศได้ร่วมกันร่างกฎหมายว่าด้วยการล้มละลาย ทรัพย์สินทางปัญญา ตราสารเอกสารทางด้านการเงินระหว่างประเทศ หรือ บรรษัทที่มีกิจการระหว่างชาติขนาดใหญ่ ได้ปรับปรุงกฎระเบียบวิธีการปฏิบัติให้ก้าวสู่การเป็นบริษัทระหว่างชาติด้วยการสร้างรูปแบบการปฏิบัติขนาดยักษ์ ด้วยผู้ชำนาญการนับพันคนในมากกว่าสิบประเทศ
โลกาภิวัตน์ทางด้านการเมือง(Globalization of Politics)
ในอดีต ระบบการเมืองของประเทศต่างๆทั่วโลก ต่างมุ่งเน้นไปที่ความพยายามที่จะผดุงไว้ซึ่งความมั่นคงและความมั่งคั่ง ความผาสุกของประชน การพิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อมรวมทั้งสิทธิมนุษยชนที่อยู่ภายใต้อาณัติเขตแดนของตน แต่ด้วยสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางด้านนิเวศน์ การผนึกกำลังกันทางด้านเศรษฐกิจระดับโลก รวมทั้งแนวโน้มของกระแสโลกาภิวัตน์ทางด้านอื่น ได้ส่งผลให้กิจกรรมทางด้านการเมืองขยายตัวสู่ระดับโลกตามไปด้วย ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ ระบบการเมืองจำต้องปรับตัวให้สูงกว่าระดับประเทศ ด้วยการแผนยุทธศาสตร์ระดับโลก อาทิเช่น การสถาปนาสหภาพยุโรป(European Union- EU) หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund) หรือ ธนาคารโลก (World Bank) หรือองค์การการค้าโลก (World Trade Organization)
สรุป
- โลกาภิวัตน์ เป็น กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมระดับโลก
- โลกาภิวัตน์ครอบคลุมถึงการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อวิถีการดำรงชีวิตของ ประชาคมโลกทุกด้านทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง กฎหมาย เทคโนโลยีและวัฒนธรรม
- ผลกระทบต่อวิถีการดำรงชีวิตของประชาคมโลก สามารถแยกออกเป็นสองแนวทาง คือ
ในทางลบ ผลกระทบนั้นจะหมายความรวมถึง
- การครอบงำโลกทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของอภิมหาอำนาจ โดยใช้ ความได้เปรียบที่เหนือกว่าทางด้านความก้าวหน้าทางสื่ออิเล็กโทรนิกส์ อำนาจทางด้านเศรษฐกิจ ทลายกำแพงแห่งวัฒนธรรมจนต้องถูกผนวกเข้าเป็นประเทศกึ่งบริวาร และประเทศบริวารในท้ายที่สุด
ในทางบวก โลกาภิวัตน์ จะหมายความรวมถึง
-การส่งเสริมปัจจัยทางด้านการค้า การลงทุน เทคโนโลยี ระบบการผลิตข้ามพรหมแดน และการแพร่สะพัดของระบบข้อมูลข่าวสาร ซึ่งทำให้ประชาคมโลกมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันและกันมากยิ่งขึ้น
-นโยบายและสถาบันต่างๆ ที่เอื้ออำนวยต่อการผนึกกำลังทางด้านเศรษฐกิจของประเทศต่างๆทั่วโลกทั้งในระดับทวิและพหุภาคี อาทิเช่น มาตรฐานการใช้แรงงาน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การควบรวมกิจการ รวมทั้งข้อตกลงว่าด้วยการพิทักษ์ทรัพย์สินทางปัญญา
- ในความหมายนี้ โลกาภิวัตน์ มิได้เป็นแนวโน้มที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากแต่เป็นผลพวงของนโยบาย ซึ่งสามารถจะเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
ข้อเท็จจริงในสังคมไทย
- สภาพสังคมไทยปัจจุบัน กำลังเปลี่ยนเข้าสู่ยุคข้อมูลข่าวสารแต่สังคมเกษตรกรรมทั้งแบบดั้งเดิมและแบบใหม่ และสังคมอุตสาหกรรมก็ยังคงอยู่
- สภาพสังคมไทยในปัจจุบันมีความสับสนและยุ่งเหยิงที่เกิดจากการเชื่อมต่อกันของยุคอุตสาหกรรม ยุคข้อมูลข่าวสารและการประกอบอาชีพเกษตรกรรม
- คนไทยกว่าร้อยละสี่สิบ ยังคงเป็นเกษตรกรที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
โดยสรุปการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีทั้ง 3 ประเภทที่กล่าวมาแล้วข้างต้นล้วนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายภายในประชาคมโลกทั้งในยุคปัจจุบันและในอนาคต แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลกระทบทั้งในด้านบวกและด้านลบไปพร้อมๆ กัน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ได้ฉันท์ใด ก็สามารถทำลายล้างชีวิตและสังคมของมนุษย์ได้ฉันท์นั้น เนื่องจากปัจจัยสำคัญที่มีต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงว่าจะไปทางด้านใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ครอบครองเทคโนโลยีจะมี “จริยธรรม” ในการนำไปประยุกต์ใช้มากน้อยเพียงใด ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า “ผู้ใดครอบครองเทคโนโลยี ผู้นั้นครองอำนาจ”
ในสถานการณ์ในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ อาจดูเหมือนว่าในประเทศที่พัฒนาแล้วที่เป็นฝ่ายครอบครองเทคโนโลยีที่สูงกว่าประเทศที่กำลังพัฒนาหรือประเทศด้อยพัฒนา กำลังใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่เป็นเครื่องมือในการครอบงำทางเศรษฐกิจซึ่งประเทศที่ไม่สามารถมีเทคโนโลยีเป็นของตนเองต่างก็มีความจำเป็นต้องพึ่งพิงเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อการพัฒนาประเทศ ทำให้ต้องนำทรัพยากรต่างๆ ที่ตนเองมีอยู่แลกกับการนำเข้าเทคโนโลยีที่ทันสมัย ท่ามกลางการค้าระหว่างประเทศที่อำนาจในการต่อรองกลับตกอยู่กับประเทศที่ครอบครองเทคโนโลยีทำให้เกิดการพัฒนาที่ไม่เท่าเทียมตามมา กล่าวคือ ประเทศด้อยพัฒนาที่ไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตนเองมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่เป็นฐานการผลิต เนื่องจากมีทรัพยากรทางการผลิตราคาถูกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรทางธรรมชาติ ที่ดิน แรงงาน ฯลฯ อีกทั้งกฎหมายที่ให้การคุ้มครองเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมไม่มีหรือยังขาดการบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรม ผลที่ตามมาก็คือทรัพยากรเหล่านั้นถูกดูดซับไปเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเจ้าของเทคโนโลยี แต่สิ่งที่ปรากฏภายหลังจากการเข้ามาลงทุนของประเทศมหาอำนาจทางเทคโนโลยีเหล่านั้นก็คือความเสื่อมโทรมของทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศตกต่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดจิตสำนึกและความรับผิดชอบในเรื่องของสิ่งแวดล้อมของประเทศผู้ผลิต
ดังนั้นเมื่อการใช้เทคโนโลยีเป็นไปเพื่อตอบสนองความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันในด้านการค้าระหว่างประเทศ โดยมีได้คำนึงถึงในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์เป็นสำคัญ ก็ทำให้เกิดการกระจุกตัวของความมั่งคั่งในหมู่ประเทศเจ้าของเทคโนโลยี แต่กลับทำให้ประเทศที่ด้อยพัฒนาตกอยู่ในสภาวะด้อยพัฒนาต่อไป
จากสภาวการณ์ข้างต้นคงเป็นบทเรียนราคาแพงของประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายที่จำเป็นต้องปรับตัวในเรื่องการสร้างองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีด้วยตนเอง เพื่อมิให้ตกอยู่ในสถานะของประเทศที่พึ่งพาทางเทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลา เพราะหากประเทศใดไม่มีเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศเป็นของตนเอง ก็เท่ากับว่าการพัฒนาประเทศในอนาคตถูกกำหนดชะตากรรมโดยผู้อื่น ดังนั้นแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีของประเทศต่างๆ อยู่ที่ความพยายามในการสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันในเวทีการค้าโลก ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ หากประเทศใดไม่เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมส่งผลถึงอนาคตที่มืดมนของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หนทางเดียวที่จะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเพื่อการเอาชนะที่ทรงอานุภาพยิ่ง ก็คือการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในด้านต่างๆ ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ รวมทั้งเพื่อทดแทนการนำเข้าทางเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศเปลี่ยนไปจากการพึ่งพาต่างประเทศมาเป็นการพึ่งตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับหลักการพัฒนาตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อันจะทำให้ประเทศชาติสามารถดำรงรงอยู่ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของประชาคมโลกในยุคโลกาภิวัตน์
ที่มา http://www.baanjomyut.com
นาโนอิเล็กทรอนิกส์
เช่น คอมพิวเตอร์นาโน จักรกลนาโน โดยที่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคตจะมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้การผลิตคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงไปได้อีก เช่น การผลิตเป็น "ชิพความจำ (memory chip)" ที่ใช้โมเลกุลของสสารเป็นทรานซิสเตอร์แทนที่จะเป็นซิลิกอนทรานซิสเตอร์ดังที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
นาโนเทคโนโลยีทางการแพทย์
อาทิเช่น การสร้างหุ่นยนต์ขนาดจิ๋ว (เส้นผ่าศูนย์กลาง 500 – 3,000 นาโนเมตร) หรือขนาดเท่าเม็ดเลือดแดง ซึ่งสามารถเข้าไปรักษาโรค ซ่อมแซมผนังเซลล์ ทำลายไขมันที่อุดตันในเส้นเลือดหรือมะเร็งเนื้อร้ายในจุดที่เราต้องการได้ โดยไม่ต้องใช้การผ่าตัดแต่อย่างไร เป็นต้น หรือการใช้เซลล์ประดิษฐ์ขนาดจิ๋วที่เรียกว่า “นาโนดีคอย” ในการดักจับไวรัส (เอดส์ ตับอักเสบ หรือ ไข้หวัดใหญ่) แทนกลไกภูมิคุ้มกันของร่างกาย รวมทั้งการผลิตแก้วหูเทียม ผิวหนังเทียมสามารถทำขึ้นทดแทนได้อย่างง่ายดาย เป็นต้น
นาโนวัสดุศาสตร์
เช่น ท่อนาโนซึ่งเป็นวัสดุสมัยใหม่ที่มีน้ำหนักเบา แข็งแรงทนทานเป็นพิเศษสามารถกำหนดรูปร่างได้ตามต้องการ รวมถึงวัสดุฉลาดต่างๆ ซึ่งวัสดุฉลาดในแง่ของนาโนศาสตร์ หมายถึงการสร้างวัสดุในระดับนาโนให้สามารถทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงได้ตามเป้าหมาย เช่นโครงสร้างที่ซ่อมแซมตัวเองได้ วัสดุที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้เอง เชื้อเพลิงจรวดที่เผาผลาญอย่างรวดเร็ว เครื่องตรวจจับอาวุธชีวภาพเสื้อผ้าไร้รอยยับและป้องกันรอยเปื้อน ฝุ่นไม่เกาะ ครีมที่สามารถ แทรกซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ลึกยิ่งขึ้น แว่นกันแดดที่ลดการสะท้อนแสง ป้องกันรอยขีดข่วน สีทาผนังที่ป้องกันรังสีอัลตร้าไวโอเล็ต เป็นต้น ซึ่งในอนาคตนาโนเทคโนโลยีจะทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ดีขึ้น ในขณะที่ใช้วัสดุต่างๆ น้อยลง ใช้พลังงานน้อยลง
อย่างไรก็ตามผลทางด้านลบของนาโนเทคโนโลยี อาจจะเกิดขึ้นได้ ถ้าหากว่ามีการใช้เทคโนโลยีนี้ เพื่อการทำลายล้าง เช่น การสร้างเครื่องยนต์ขนาดจิ๋วเพื่อการสังหารหรือทำลายล้างศัตรู อุปกรณ์จิ๋วทางการแพทย์อาจถูกใช้เป็นอาวุธในการฆาตกรรมหรืออาวุธที่มีขนาดเล็ก เรียกว่า Nano-weapon ซึ่งสามารถซุกซ่อนไปก่ออาชญากรรมได้ทุกพื้นที่ โดยเฉพาะอาวุธที่ทำมาจากท่อนาโนคาร์บอนที่ไม่สามารถใช้เครื่องตรวจสอบโลหะตรวจจับได้ เป็นต้น
ที่มา http://www.baanjomyut.com
ปัจจุบันสินค้านาโนมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้านาโน ครีมหน้าเด้งและครีมกันแดดนาโน อุปกรณ์กีฬา ฯลฯ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นที่คุ้นเคยกันมากขึ้น ผลจากการสำรวจพบว่าผลิตภัณฑ์นาโนออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นิตยสารฟอร์บส มีการจัดสิบอันดับผลิตภัณฑ์ นาโนที่มีการออกจำหน่ายในปี ค.ศ.2003 จำนวน 10 อันดับ ผลิตภัณฑ์นาโนที่กล่าวถึงเรียงตามลำดับได้แก่
- แผ่นรองในรองเท้าเพื่อเพิ่มความอบอุ่นสำหรับทหารและนักกีฬาสกี ชื่อว่า Shock Doctor และ Aerogel Hotbed คือแผ่นรองที่ทำให้เท้าเย็นสบาย แผ่นรองดังกล่าวอาศัยเทคโนโลยี รูพรุนขนาดนาโนทำหน้าที่เป็นฉนวน จึงทำให้มีประสิทธิภาพดีกว่าวัสดุที่ใช้แบบเดิมถึง 20 เท่าตัว และบางเพียง 2.5 มิลลิเมตรเท่านั้น
- ที่นอนซักได้ยี่ห้อ Healthsmart ที่แผ่นผ้าปูด้านบนมีซิป สามารถถอดออกมาทำความสะอาด และผ้านั้นผลิตจากเส้นใยที่มีรูกลวงขนานนาโนสามารถขับไล่เหงื่อและความชื้นขณะที่เรานอนหลับ
- ไม้กอล์ฟและลูกกอล์ฟนาโน โดยบริษัท Maruman ของญี่ปุ่น ได้ออกจำหน่ายหัวไม้ไดรเวอร์ที่ผสมลูกบอลคาร์บอนนาโน ทำให้ก้านมีความสามารถในการต้านแรงได้ มากกว่าแบบไทเทเนียมถึง 12% และแข็งกว่าประมาณ 3.6% และทำให้ตีไกลกว่าเดิม 15 หลา
- ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว Bionova ที่ผลิตมาเฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละบุคคล ให้เหมาะกับอายุ เชื้อชาติ ชนิดของผิว ของแต่ละคน
- ผ้าปิดแผลนาโนซิลเวอร์ยี่ห้อ Ecotru ที่สามารถฆ่าเชื้อโรคและกันการติดเชื้ออย่างดีเยี่ยม
- น้ำยาทำความสะอาดนาโนที่ผลิตจากบริษัทเดียวกับข้อ 5 ที่ใช้ฆ่าเชื้อโรคได้ทุกชนิด
- สเปรย์กันน้ำนาโน มีการผสมอนุภาคนาโนพิเศษ สามารถใช้เคลือบพื้นผิวต่างๆ ช่วยทำให้น้ำไม่สามารถเกาะและง่ายในการทำความสะอาด
- น้ำยาเคลือบกระจกรถยนต์ยี่ห้อ Clarity Defender ที่ช่วยป้องกันหิมะ น้ำฝนและแมลงให้เกาะติดกับกระจกช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่ได้ถึง 34%
- ครีมแก้ปวดเมื่อกล้ามเนื้อ ยี่ห้อ Flex-Power ที่ใช้ไลโปโซมขนาด 80 นาโนเมตร บรรจุตัวยาให้สามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังเร็วขึ้น
- กาวติดฟัน ที่ผลิตโดยบริษัท 3M ที่มี่ส่วนผสมของอนุภาคซิลิกาขนาดนาโน ช่วยทำให้ติดได้แข็งแรงมากขึ้นและไม่เกาะตัวเป็นก้อนเวลาใช้งาน
คำว่า นาโน (Nano) แปลว่าคนแคระในภาษากรีก แต่ในความหมายทางวิทยาศาสตร์หมายถึง มาตราวัดความยาวตามมาตราเมตริก 1 นาโนเมตร มีขนาด 1 ในพันล้านส่วนของ 1 เมตร (10 - 9 เมตร) แสดงว่า สิ่งใดก็ตามที่มีขนาดความยาว 1 นาโนเมตร จะมีขนาดเล็กมาก ดังนั้น คำว่า นาโนเทคโนโลยีจึงเป็นวิทยาการประยุกต์แขนงใหม่ที่ว่าด้วยเรื่องของการสร้างหรือการสังเคราะห์สิ่งของต่าง ๆ ที่มีขนาดเล็กในระดับโมเลกุล และอะตอม และความหมายที่ง่ายต่อความเข้าใจมากที่สุด ก็น่าจะหมายถึง “เทคโนโลยีขนาดจิ๋ว” นั่นเอง
คำว่านาโนเทคโนโลยี นั้นเดิมทีศาสตราจารย์ริชาร์ด ฟายน์แมน ใช้คำว่า Minimanufacturing ซึ่งหมายความว่าเป็นกระบวนการผลิตสิ่งที่มีขนาดเล็กจิ๋ว จนกระทั่งปี ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2517) ศาสตราจารย์ โนริโอะ ทานิกูชิ (Norio Taniguchi) แห่งมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์โตเกียวเป็นคนแรกที่เริ่มใช้คำว่า “Nanotechnology” (N. Taniguchi, "On the Basic Concept of 'Nano-Technology", Proc. Intl. Conf. Prod. Eng. Tokyo, Part II, Japan Society of Precision Engineering, 1974)
นาโนเทคโนโลยีถือกำเนิดมาจากแนวความคิดที่ว่า วัตถุในโลกที่เห็นด้วยตาเปล่านั้นประกอบมาจากอะตอมและโมเลกุล ดังนั้นการผลิตสิ่งต่างๆ จึงน่าที่จะทำในลักษณะสร้างสิ่งใหญ่ขึ้นมาจากสิ่งเล็ก (Bottom-UP Manufacturing) ในระดับโมเลกุลหรืออะตอม
นาโนเทคโนโลยีเป็นการผสมผสานของวิทยาศาสตร์หลายแขนง เช่น ชีววิทยา ชีวเคมี วิศวกรรมศาสตร์สาขา หุ่นยนต์ และเครื่องจักรกล จุดมุ่งหมายสูงสุดของนาโนเทคโนโลยีก็คือความสามารถที่จะสร้างและจัดเรียงอนุภาคต่างๆได้ตามความต้องการ เพื่อสร้างสสารหรือโครงสร้างของสารในแบบใหม่ๆที่ให้คุณสมบัติพิเศษที่อาจจะไม่เคยมีก่อน
ที่มา http://www.baanjomyut.com