จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

เหตุการณ์ 24 มิถุนายน 2475 ถือว่าเป็นเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญยิ่งของประวัติศาสตร์

  
            การเมืองไทยยุคใหม่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นระบบการปกครองที่ยึดหลักว่าอำนาจเป็นของประชาชน จากสหัสวรรษที่ 1 (2475) มาจากถึงสหัสวรรษที่ 2 (2552) ก็นับว่าเป็นเวลานานพอสมควรกับการซึมซับรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่ว่าการเมืองไทยก็ยังคงเหมือนกับเด็กที่ไม่รู้จักโตซะที (ล้มลุกคลุกคลานไปเรื่อยจะลุกขึ้นเดินก็ล้มใหม่) ประเทศไทยบอกกับอารยประเทศว่า ฉันเป็นประชาธิปไตยน่ะ (ทางทฤษฎี) แต่ทว่าในทางปฏิบัตินั้นมันกลับไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะว่าประชาชนไม่ได้เป็นผู้ใช้อำนาจจริงๆ หากเรามองย้อนดูไปตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ 2475 การเปลี่ยนแปลงการปกครองไทยจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยจนถึงปัจจุบัน เราจะเห็นว่าการเมืองไทยมันไม่ได้เปลี่ยนจากการปกครองโดยราชามาสู่ประชาชนหากแต่มันเปลี่ยนจากการปกครองจากพวกเจ้าเชื้อพระวงศ์ (พวกชนชั้นสูงในระบบเก่า) มาเป็นกลุ่มชนชั้นแบบใหม่ (พวกนายทุนนักธุรกิจ) อำนาจเป็นของกลุ่มชนชั้นสูงหรือปกครองมาตั้งแต่แรกส่วนประชาชนก็เป็นเพียง ไอ้เบ้ หรือ เบี้ยล่างอยู่ร่ำไป ผู้ปกครองไม่เคยบอกกับประชาชนเลยต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิเสรีในทางตรงกันข้ามกลับบอกประชาชนให้หุบปาดแล้วเงียบให้เชื่อฟังผู้นำแล้วจะดีเอง เพราะผู้ปกครองไม่เคยมองว่าประชาชนมีความรู้ พวกนี้เอะอะอะไรก็ข้าฉลาดที่สุด ประชาชนนั้นงี่เง่าเอะอะอะไรก็ประท้วง รัฐทูลนำความเจริญโดยการสร้างเขื่อนระเบิดแม่น้ำสร้างความฉิบหายให้แก่ทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ให้ก็ไม่เอา น่าเบื่อที่สุด รัฐบาลเซ็ง

      หากเรามองการเมืองไทยผ่านแนวคิดของพวกมาร์กซิสต์เราก็จะเห็นได้ว่าการเมืองไทยเรานั้นมันมีโครงสร้างทางชนชั้นมาตั้งแต่แรก คือ ชนชั้นสูงกับชนชั้นล่างตามทฤษฎีของมาร์กบอกว่าพัฒนาการทางสังคมจะมี 6 ลำดับขั้น คือ

                1. สังคมบุพกาล ในช่วงนี้เป็นช่วงเริ่มแรกของเมืองไทยทุกคนหากินไปวันๆ ไม่รู้ว่าตนเองจะทำอะไร ไม่รู้ว่ากษัตริย์ผู้ปกครองหน้าตาเป็นยังไง

                2. สังคมทาส (ดูได้ก่อนสมัย ร.5 ให้นึกถึงเรื่องนางทาสที่มีอีเย็นเป็นนางเอกเข้าไว้) สังคมสมัยนี้เกิดจากการที่ประชาชนเริ่มมีการทำเกษตรกรรมเพาะปลูก เริ่มมีผลผลิตส่วนเกิน พวกที่แข็งแรงกว่า (มีทุนทรัพย์) เริ่มเยื้อแย่งที่ดินจากพวกที่อ่อนแอกว่า (ไม่มีเงิน) เอาที่ดินเข้าไปจำนอง เอาลูกสาว (อีเย็น) เข้าไปเป็นเบี้ยขัดดอกให้กับท่านเจ้าคุณได้ใช้สอยได้ตามพระทัย

                3. สังคมศักดินา (ในสมัยนี้พวกอภิชนขุนนาง เจ้าพระยา เป็นผู้มีบทบาทหลัก) พวกนี้ใช้ ศักดินาที่ตนมีแสวงหาบริวารมาเป็นของตนเอง เพื่อทำผลผลิต (ทำนา ทำสวน) เพื่อทำผลผลิตที่ได้ไปค้าขาย ซึ่งพบได้ในสมัยสังคมสุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ ในสมัยนี้ประชาชนไม่กล้าที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ เนื่องจากต้องพึ่งพิงพวกนายท่านทั้งหลายอยู่

                4. สังคมทุนนิยม(เริ่มตั้งแต่ 2475 เป็นต้นมา) ระบบทุนนิยมจริงๆ แล้วมันมีตั้งแต่สมัยโบราณหรือที่เรียกกัยว่าพาณิชย์นิยม แต่ถ้าจะทุนนิยมแบบถึงลูกถึงคนมันก็ต้องเริ่มตั้งแต่ไทยรับระบบประชาธิปไตยเข้ามาใช้ เพราะประชาธิปไตยมันมาพร้อมกับความเป็นเสรี เน้นความเป็นปัจเจก ทุกอย่างที่เปิดกว้าง เริ่มมีการเปิดเสรีทางการค้า ห้ามมีการจำกัดโควต้า ทำให้พวกอภิสิทธิ์ (ชน) ทั้งหลายที่มีความสามารถหรือโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรมากกว่าชนชั้นรากหญ้าเริ่มแสดงเริ่มหาความมั่งคั่งให้กับตนเองหรือครอบครัว โดยการใช้ระบบกลไกตลาดเป็นเครื่องมือในการขูดรีดชนชั้นล่าง คำว่า เป็นไปตามกลไกตลาด มันมีมานานแล้ว แต่กลไกตลาดไม่ใช่เครื่องมือในการกดขี่ขูดรีดหรือเอารัดเอาเปรียบคนจนๆ ด้วยตัวของมันเองหากแต่เป็นพวกอภิสิทธ์ (ชน) ต่างหากที่เป็นผู้ทำการกดขี่ขูดรีดเลือดเอากับปู (ไม่มีเลือดให้ขูดก็จะขูด) โดยพวกนี้จะใช้ กลไกตลาดเข้าไปควบคุมบิดเบือนวัตถุประสงค์ของอุปสงค์ อุปทาน ด้วยกลยุทธ์วิชามารต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งกำไรสูงสุด อย่างเช่น ถ้าสินค้าไหนประชาชนมีความต้องการมากก็กักตุนสินค้าไว้เก็งกำไร เป็นต้น ซึ่งการกดขี่เช่นนี้ มันจะทำให้พวกชนชั้นสูงนายทุนเป็นพวกที่รวยล้นฟ้า ส่วนพากชนชั้นล่างก็เป็นพวกที่ยากจนขัดสนมีมาตรฐานการครองชีพต่ำ ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีของมาร์กที่บอกว่าเมื่อใดก็ตามที่ระบบเศรษฐกิจก่อให้เกิดคนรวย คนจน หรือทำให้เกิดระหว่างชนชั้นแล้วมันก็จะนำไปสู่ความขัดแย้งทางชนชั้นหรือเกิดการลุกฮอขึ้นของพวกกรรมาชีพนั้นเอง เช่น กลุ่มเกษตรกร กลุ่มเขื่อนสิรินธร ฝายราษีไศล กลุ่มเหล่านี้เป็นกลุ่มที่ถูกขูดรีดโดยพวกรัฐบาลหรือชนชั้นปกครองผ่านโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ โดยที่พยายามที่จะใช้เครื่องมือทางการปกครอง (กฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ) เพื่อขู่ให้ประชาชน (ชนชั้นล่าง) ยอมรับการขูดรีดผ่านโครงการร้อยล้านพันล้านเหล่านี้โดยดุษฎี พร้อมตัวอย่างของกลุ่มพันธมิตรกับกลุ่ม นปช. ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งของการต่อสู้ทางชนชั้นอย่างเห็นได้ชัด กลุ่มพันธมิตรนั้นประกอบด้วยชนชั้นสูง พวกนักธุรกิจ พ่อค้า พวกชาวเมือง กลุ่ม นปช. นั้นประกอบไปด้วยพวกชนชั้นรากหญ้าที่ไม่เคยมีใครมาเหลียวแล แต่พอมาในสมัยทักษิณพวกเขาเหล่านี้กลับสามารถล้มตาอ้าปากได้ทำให้เขาลุกขึ้นมารวมกันเป็น นปช. จะเห็นได้ว่าพวก นปช. เขาไม่ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อทักษิณ แต่พวกเขากำลังลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของตนเองต่างหากละ แต่พวกพันธมิตรกลับมองว่าพวกชนชั้นล่าง(โดยเฉพาะพวกบ้านนอก บ้านนอก) ตามชนบทอีสานและเหนือนี่งี่เง่าไร้เทคโนโลยี ไร้การศึกษา หน้าเงิน ดังนั้นพันธมิตร จึงได้เสนอวาทะกรรมอันสวยหรูว่า  การเมืองในแบบฉบับพวกผู้ดี๊ ผู้ดี ขึ้นมานั้นก็ (70 : 30) คือ ให้มีการเลือกตั้งเพียง 70 % พวกโง่ๆ ทำไมต้องให้ไปกำหนดระบบเราด้วยเดี๋ยวทำให้การเมืองแบบชนชั้นสูงเสียระบบหมด (จุ๊ จุ๊ เดี๋ยวพวกนี้มันจะเข้ามาปะปน ผู้ดี๊ ผู้ดี อย่างพวกเราหมู่ชั้นสูง) ดังนั้นที่เหลือต้องให้มาจากการสรรหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 30 % (เพื่อให้คนของเราเข้าไปกำหนด) สุดท้ายผลประโยชน์ไม่ต้องพูดถึงว่ามันจะตกที่ใคร ซึ่งแนวความคิดนี้สะท้อนให้เห็นได้ว่าชนชั้นสูง (พันธมิตร) ต้องการให้ประชาชนเป็นผู้ตามมากกว่าที่จะเป็นผู้นำในระบบการเมืองไทย โดยพวกนี้จะสร้างสวัสดิการส่วนที่เหลือมาแบ่งปันให้กับชนชั้นล่างเพื่อให้เงียบ เช่น เช็คช่วยชาติ 2000 บาท รถเมย์ รถไฟฟรี เรียนฟรี 15 ปี เป็นต้น ซึ่งการทำเช่นนี้ ก็เนื่องจากพวกนายทุนทั้งหลายไม่ต้องการให้ระบบทุนนิยมของพวกเขาถูกทำลายกลายไปเป็นรูปแบบสังคมแบบสังคมคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นแบบนี้พัฒนาการทางสังคมขั้นที่ 6 ของมาร์กซิสต์

                จากประเด็นดังกล่าวที่ได้วิเคราะห์มาผ่านแนวความคิดแบบมาร์กซิสต์จะเห็นได้ว่าระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นระบอบประชาธิปไตยไทยนั้น เป็นระบอบประชาธิปไตยที่ครอบไปด้วยนายทุนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองทำให้ทิศทางในการพัฒนาประชาธิปไตยไม่ได้เป็นไปในแนวทางประชาธิปไตยที่ควรจะเป็น แต่มันกลับเป็นระบอบการปกครองที่แฝงเร้น เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ของพวกเขาเหล่าชนชั้นสูงทั้งหลาย จึงทำให้ประเทศเกิดปัญหาต่างๆ มากมายทำให้เกิดความเดือดร้อนกันถ้วนหน้าเป็นไปได้ไหมที่เราชาวไทยจะมีจิตสำนึกทางวัฒนธรรมการแบ่งแบบใหม่ซะที เป็นไปได้ไหมที่เราคนไทยจะเลือกคนที่มีความรู้จริงๆ ในการบริหารงานเข้าไปเป็นผู้แทน ? เป็นไปได้ไหมที่รัฐธรรมนูญจะเลิกใช้กฎเหล็กที่ว่า พรรคใหญ่ลงโทษพรรคเล็ก เพื่อให้ประชาชนที่มีความรู้แต่เป็น โรคทรัพย์จางได้เข้ามาตั้งพรรคการเมือง ได้เข้าไปนั่งในสภาซะที ? มันถึงจะทำให้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายระหว่างชนชั้นสูงที่โคตรรวยกับชนชั้นล่างที่โคตรจนได้เข้าถึงจุดสมดุล (equilibruim) เพราะเป็นไปได้ สุดท้ายประชาธิปไตยก็จะเดินหน้าต่อไปไม่ใช่รุดหลังลงคลองเช่นนี้


ที่มา  http://www.oknation.net

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น