ปัญหาเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่านเริ่มตั้งเค้าตั้งแต่หลังเกิดเหตุการณ์ตึกเวิรลด์เทรด เซ็นเตอร์ ถล่ม โดยสหรัฐได้เปิดประเด็นว่า อิหร่านลักลอบพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้าย ดังนั้นสหรัฐจึงดึงสำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (IAEA) เข้ามาตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งแม้ว่าอิหร่านจะแสดงจุดยืนว่าการพัฒนานิวเคลียร์เพื่อสันติของตนเป็นสิทธิที่พึงกระทำตามอธิปไตยก็ตาม แต่สหรัฐก็ยังบีบให้สหประชาชาติใช้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่านในหลายด้าน
สิ่งที่สร้างความไม่พอใจให้กับสหรัฐต่อโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ.2549 เมื่ออิหร่านเดินเครื่องโรงงานวิจัยนิวเคลียร์ที่เมืองนาทานซ์ อีกครั้ง โดยไม่สนคำสั่งห้ามของสำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (IAEA) พฤติกรรมของอิหร่าน ทำให้ IAEA ส่งรายงานไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ว่า อิหร่านใช้โรงงานนิวเคลียร์ที่เมืองนาทานซ์ เป็นแหล่งเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียม ซึ่งในเดือนเมษายน พ.ศ.2549 อิหร่านก็ออกมาเปิดเผยเองว่า การเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมในโรงงานแห่งนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
คำเปิดเผยของอิหร่าน จุดชนวนให้คณะมนตรีความมั่นคงฯ สืบหาข้อมูลนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง สหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส เสนอร่างมติไปยังคณะมนตรีฯ เรียกร้องอิหร่านยุติการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม มิเช่นนั้นจะถูกตอบโต้ด้วยมาตรการที่หนักขึ้น แต่รัฐสภาอิหร่านโต้กลับโดยขู่ว่าจะถอนตัวจากสนธิสัญญาแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) ถ้ามหาอำนาจกดดันอิหร่านมากกว่านี้
ท่าทีที่แข็งกร้าวของอิหร่าน ทำให้เกิดข่าวลือว่า สหรัฐจะใช้มาตรการทางทหารจัดการกับอิหร่าน ในเร็ว ๆ นี้ รายงานข่าวจากสื่อในสหรัฐระบุว่า สหรัฐวางแผนใช้ระเบิดนิวเคลียร์โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ใต้ดินของอิหร่าน แม้รัฐบาลวอชิงตันของสหรัฐออกมาปฏิเสธข่าวนี้โดยทันที แต่ก็ทำให้อิหร่านขู่ว่าจะตอบโต้ผู้รุกรานอย่างสาสมแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน
สหรัฐพยายามใช้วิธีการทูตเกลี้ยกล่อมอิหร่านให้ยกเลิกโครงการนิวเคลียร์ โดยเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2549 สหรัฐเสนอร่วมมือกับสหภาพยุโรปที่จะเปิดเจรจาโดยตรงกับอิหร่าน แต่ก็มีเงื่อนไขให้อิหร่านยกเลิกการเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมก่อน ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่อิหร่านปฏิเสธอยู่เสมอ
และในที่สุดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2549 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ก็มีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ให้คว่ำบาตรต่ออิหร่าน ที่เดินหน้าโครงการพัฒนานิวเคลียร์โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านจากนานาชาติ โดยมีการห้ามการนำเข้า-ส่งออกวัสดุที่เกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์ และหยุดความเคลื่อนไหวทางการเงินที่คาดว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการนิวเคลียร์ และขีดเส้นตายภายใน 60 วันเพื่อให้อิหร่านยุติการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์โดยสิ้นเชิง เพราะมิฉะนั้นแล้วคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ จะเพิ่มระดับความรุนแรงของการคว่ำบาตรต่ออิหร่านมากขึ้นไปอีก
สถานการณ์นิวเคลียร์อิหร่านก็ยังคงดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะอิหร่านยังคงดำเนินการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของตนไปเรื่อยๆ แม้ว่าถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 ซึ่งครบกำหนดเส้นตาย 60 วันที่สหประชาชาติบีบบังคับให้อิหร่านยอมจำนนในการยุติโครงการนิวเคลียร์แล้ว แต่อิหร่านก็เพิกเฉย และยังคงเดินหน้าสานต่อโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของตนต่อไป ซึ่งเท่ากับเป็นการท้าทายสหประชาชาติและมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ร่วมประชุมหารือกันอีกครั้งในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 และมีมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมครั้งที่ 2 โดยเป็นการเพิ่มอำนาจแบนการส่งออกอาวุธทั่วไปของอิหร่าน และห้ามอิหร่านเคลื่อนไหวด้านการเงินในบัญชีที่อยู่ต่างประเทศ ทั้งธนาคารข้ามชาติของอิหร่าน เช่น แบงก์เซปาห์ และบัญชีของผู้บัญชาการกองกำลังปฏิวัติอิหร่าน ซึ่งคาดว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนทางการทหารของอิหร่านนอกประเทศ
อย่างไรก็ตามหลังจากที่สหประชาชาติมีมติคว่ำบาตรต่ออิหร่านแล้ว อิหร่านยังคงเดินหน้าโครงการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมต่อไป โดยในวันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2550 ประธานาธิบดีมะห์มูด อะห์มาดีเนจาด แห่งอิหร่านได้ประกาศยกระดับการเสริมคุณภาพแร่ยูเรเนียมจากขั้นทดลองในทางเทคนิค เป็นขั้นการผลิตระดับอุตสาหกรรม ซึ่งอะห์มาดีเนจาดยังคงย้ำอยู่เสมอว่ามีสิทธิที่จะพัฒนาโครงการนิวเคลียร์เพื่อใช้ในทางสันติและยืนยันว่าต้องการเชื้อเพลิงนิวเคลียร์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเท่านั้น เพื่อให้สามารถส่งออกก๊าซและน้ำมันได้มากขึ้น และอิหร่านจะไม่ค้อมหัวให้แก่แรงกดดันที่จะให้ตนหยุดกิจกรรมด้านนิวเคลียร์ ซึ่งเขายืนยันว่าเป็นสิทธิที่จะทำได้ตามสนธิสัญญาห้ามแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) อย่างไรก็ตาม ชาติตะวันตกก็ยังคงแย้งว่าอิหร่านต้องพิสูจน์ว่าโครงการของตนไม่ได้มีจุดประสงค์ทางทหารเสียก่อนจึงจะใช้สิทธิ์นี้ได้
ดังนั้น หากสถานการณ์ในอนาคตโน้มเอียงไปในรูปที่สหรัฐอเมริกาเคลื่อนกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ขนานใหญ่เข้าสู่อ่าวเปอร์เซียมากขึ้น หรือมีการเคลื่อนกำลังอย่างผิดปกติในประเทศที่สหรัฐอเมริกามีกองกำลังตั้งอยู่ เช่นในอิรัก อัฟกานิสถาน หรือแม้แต่ตุรกี ซึ่งประเทศเหล่านี้ล้วนเป็นประเทศที่สหรัฐอเมริกามีอิทธิพล และที่สำคัญมีพรมแดนติดต่อกับอิหร่านทั้งสิ้น ประกอบกับถ้าอิหร่านมีการฝึกซ้อมรบทั้งในด้านกำลังทหารและอาวุธบ่อยครั้งขึ้น รวมทั้งมีการกักตุนสินค้า หรือแม้แต่มีการเร่งถอนเงินจำนวนมากออกนอกประเทศ ก็มีนัยที่อนุมานได้ว่าสหรัฐอเมริกาอาจใช้กำลังโจมตีอิหร่านในไม่ช้า และนั่นหมายความว่าปัญหานิวเคลียร์อิหร่านจะกลายเป็นการใช้ความรุนแรงเข้าหากัน การสู้รบก็อาจขยายวงกว้างออกไปกลายเป็นสงครามขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจมีประเทศอิสราเอล และประเทศอาหรับบางประเทศ อย่างเช่น ซีเรีย เข้ามามีส่วนร่วมด้วยก็เป็นได้


ที่มา http://www.baanjomyut.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น