พรรคคอมมิวนิสต์จีนฉลองครบรอบ 90 ปีของการก่อตั้งพรรคไปเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมปีที่ผ่านมา โดยมีแขกเหรื่อเข้าร่วมมากกว่าปีก่อนๆ และมีการใช้ “สื่อ” ต่างๆ เข้าช่วยในการเผยแพร่มากกว่าปกติ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องมีวัตถุประสงค์อะไรบางอย่างเป็นกรณีพิเศษ แต่เนื่องจากไม่ค่อยมีอะไรเกี่ยวข้องกับประเทศไทยนัก จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจที่จะหยิบยกขึ้นมาพูดถึง
เหตุที่ผมนำเอาเรื่องนี้มาพูดก็เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหัวข้อคอลัมน์ของผมในวันนี้ และเป็นอะไรที่น่าสนใจอีกด้วย
สัปดาห์นี้ผมขอนำท่านผู้อ่านเดินทางต่อจากอินเดียเข้าสู่ประเทศจีนเพื่อหักมุมเข้าไปดูการบริหารจัดการธุรกิจทุนนิยมสไตล์พรรคคอมมิวนิสต์จีน (State Capitalism, CPC Style) ที่ทำให้ผมอดหวนคิดถึงงานเฉลิมฉลองพรรคฯ ครบรอบ 90 ปีไม่ได้
พรรคคอมมิวนิสต์จีน 4 รุ่น 4 แนวคิด 4 สไตล์บริหาร
ปัจจุบันพรรคคอมมิวนิสต์จีนยอมรับว่านับแต่ประเทศจีนถูกปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ในปี 1949 เป็นต้นมา พรรคอยู่ภายใต้การนำของผู้นำรุ่นต่างๆ ที่มีแนวคิดและสไตล์การบริหารปกครองที่แตกต่างกัน 4 รุ่น 4 แนวคิด และ 4 สไตล์ ประกอบด้วย
รุ่นที่หนึ่ง ภายใต้การนำของประธานเหมาเจ๋อตง เรียกแนวคิดในรุ่นนี้ว่า “ความคิดเหมาเจ๋อตง” (Mao Zedong Thought) ซึ่งก็คือลัทธิมาร์กซิสต์-เลนินนิสต์ ที่ได้รับประยุกต์และดัดแปลงให้เข้ากับสภาพสังคมจีนโดยประธานเหมาเจ๋อตง
รุ่นที่สอง ภายใต้การนำของเลขาเติ้งเสี่ยวผิง เรียกแนวคิดในรุ่นนี้ว่า “ทฤษฎีเติ้งฯ” (Deng Xiaoping Theory) ซึ่งก็คือการพัฒนาความคิดเหมาเจ๋อตงไปอีกขั้นหนึ่งให้สอดคล้องกับสภาพภาววิสัยที่เป็นจริงของสังคมจีน และเงื่อนไขใหม่ทางประวัติศาสตร์
รุ่นที่สาม ภายใต้การนำของประธานาธิบดีเจียงเจ๋อหมิน เรียกแนวคิดในรุ่นนี้ว่า “ทฤษฎีสามประสาน” (Three Represents) ซึ่งก็คือการพัฒนาลัทธิมาร์กซิสต์-เลนินนิสต์ ความคิดเหมาเจ๋อตง และทฤษฎีเติ้งฯ ไปอีกขั้นหนึ่ง (จะเรียกว่า “ทฤษฎียำสามเซียน” ก็คงไม่ผิด เพราะไม่ค่อยมีอะไรใหม่เอี่ยมเท่าไหร่...ผู้เขียน)
รุ่นที่สี่ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีหูจิ่นเทา เรียกแนวคิดในรุ่นนี้ว่า “ทฤษฎีมองพัฒนาการอย่างเป็นวิทยาศาสตร์” (Scientific Outlook on Development) ซึ่งก็คือความพยายามที่จะมองการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนให้เข้ากับแนวคิด และรูปแบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ในศตวรรษที่ 21 ที่เป็นยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และกระบวนการแลกเปลี่ยนทางสังคมและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นเร็วมาผ่านโลกอินเทอร์เน็ต
ว่ากันว่า ประธานาธิบดีหูฯ ไปได้แรงดลใจจากกรณีวิกฤติซาร์เมื่อปี 2003 จึงเริ่มได้คิดว่าระบบสังคมเศรษฐกิจจีนยังเปราะบางมาก และแนวทางเดียวที่จะช่วยนำพาสังคมจีน (และพรรคคอมมิวนิสต์) ไปข้างหน้าได้ก็คือ การยอมรับความจริง ด้วยการมองปัญหาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ปรับเปลี่ยนตัวเองให้สอดคล้องกับภาววิสัยที่เป็นจริง และนี่ก็คือที่มาของแนวคิดใหม่ในการบริหารจัดการธุรกิจทุนนิยมจีนในปัจจุบัน
State Capitalism : ธุรกิจเป็นทุนนิยมได้ ทำให้ธุรกิจ (ของ) รัฐจะเป็นทุนนิยมไม่ได้
ก่อนอื่น ต้องเข้าใจว่าในประเทศจีนนับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 1949 ระบบเศรษฐกิจและระบบกรรมสิทธิ์ล้วนแต่เป็นของรัฐหรือบริหารจัดการโดยรัฐ และกลไกที่ใช้ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า State-Owned Enterprises หรือเรียกย่อๆ ว่า SOEs (ซึ่งถ้าจะแปลหยาบๆ ก็คือ “รัฐวิสาหกิจ” แต่ถ้าจะให้ถูกต้องมากขึ้นน่าจะหมายถึงธุรกิจหรือวิสาหกิจของรัฐมากกว่า....ผู้เขียน) จริงอยู่เอกชน (ทั้งคนจีนเองและต่างชาติ) เริ่มเข้ามามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคการค้าและการผลิตมากขึ้น แต่แม้กระทั่งเปิดประเทศมาเป็นเวลาร่วมสามทศวรรษ และมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบัน SOEs ก็ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของอุตสาหกรรม การค้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจการเงินของจีน และเมื่อดูขนาดกิจการก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าธุรกิจขนาดใหญ่ของจีนเกือบทั้งหมดก็ยังเป็นพวก SOEs อยู่อีกนั่นแหละ
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อหกสิบกว่าปีที่แล้ว SOEs ถูกใช้เป็นกลไกในการผลิต เพราะไม่มีทางเลือกอื่น แต่ในปัจจุบันผู้นำจีนกำลังใช้ SOEs เป็นเครื่องมือในการ “ขยายอาณาจักร” และดำเนินยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า State Capitalism เพื่อวัตถุประสงค์สองสามประการ
ประการแรก เพื่อต่อสู้ ปกป้องและช่วงชิงแหล่งวัตถุดิบที่จำเป็นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงแนวคิดรุ่นที่สี่ ที่ให้มองโลกอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ และในเมื่อมหาอำนาจทุกชาติไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ อเมริกา หรือกระทั่งญี่ปุ่นต่างก็ใช้ “บรรษัทข้ามชาติ” ของตนเป็นเครื่องมือ ทำไมจึงจะใช้ SOEs เป็นเครื่องมือไม่ได้
ประการที่สอง ในทางสังคมและวัฒนธรรม กระแสโลกาภิวัฒน์ และอินเmอร์เน็ตทำให้จีนต้องอาศัยธุรกิจของรัฐเป็นเครื่องมือในการ “โปรโมต” ความเป็นจีน และความเป็นตัวตนของจีนในเวทีโลก เพราะเป็นอะไรที่พร้อมที่สุดในทุกด้าน
ประการสุดท้าย Global Brand คือสิ่งที่จีนยอมรับว่าเป็น “อาวุธลับ” ที่ร้ายกาจที่สุดของซีกโลกตะวันตก (บวกญี่ปุ่น) และจีนไม่มีทางลัดใดๆ ที่จะสร้างสิ่งนี้ได้ นอกจากเดินตามแนวทางของระบอบทุนนิยม นั่นคือทำการตลาดสากลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยมีกลไกของรัฐเป็นตัวหนุนช่วย
พรรคคอมมิวนิสต์เรียนรู้ที่จะอยู่กับธุรกิจเอกชน
สมัยก่อน (สามสิบปีที่แล้ว) ผมไปเมืองจีน ทุกบริษัทเป็นของรัฐ และบริหารจัดการด้วยระบบ “ไตรภาคี” คือ ฝ่ายจัดการหนึ่ง ฝ่ายกรรมกรหนึ่ง และฝ่ายพรรคฯ อีกหนึ่ง
หลังเปิดประเทศด้วยอิทธิพลของต่างชาติ ภาคีฝ่ายพรรคฯ และฝ่ายกรรมกรได้ถูกยกเลิกไป เว้นแต่ใน SOEs ที่ผู้บริหารระดับสูง (และตัวซีอีโอ) ต้องเป็นสมาชิกพรรคฯ
ปัจจุบัน พรรคคอมมิวนิสต์ได้เริ่มกลับเข้ามาในธุรกิจเอกชนอีกครั้ง แต่ในรูปแบบใหม่ที่ “อ่อนน้อม ถ่อมตน” และเอื้อประโยชน์ในทางธุรกิจให้แก่กิจการ ทำนองทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมประสานกับรัฐ (Government Relations) ซึ่งก็ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีกับการบริหารจัดการแบบทุนนิยมไม่น้อย
และนี่ก็คือการปรับตัวของ State Capitalism ในยุคผู้นำรุ่นที่สี่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่กำลังจะผลัดใบในเร็วๆ นี้
ที่มา http://www.thaipost.net
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น