จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

โลกาภิวัตน์ : ความยากจน ความไม่เสมอภาค (Globalization: Poverty Inequality)

             ในความเห็นแรกเห็นว่า โลกาภิวัตน์สามารถช่วยลดความยากจนของประชาชนในประเทศที่กำลังพัฒนา (Developing Country) ได้แต่จะเป็นการดียิ่งขึ้นในการช่วยประเทศที่ยากจนที่สุด (Poorest Country) ซึ่งแนวความคิดนี้เห็นว่าโลกาภิวัตน์สามารถช่วยพัฒนาความเป็นอยู่และรายได้ของประชากรในประเทศเหล่านี้และหวังว่าประชาชนควรให้ความร่วมมือด้วยอย่างมาก ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้วพบว่าประเทศกำลังพัฒนา 24 ประเทศที่เข้าร่วมในเศรษฐกิจระดับโลกในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา (ช่วงปี1990) ได้ประสบความสำเร็จในด้านของรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ทั้งนี้รวมไปถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและมาตรฐานการศึกษาที่สูงขึ้นดีขึ้น
ประเทศกำลังพัฒนาเหล่านี้ ได้แก่ ประเทศจีน อินเดีย ฮังการี และเม็กซิโก ได้รับมาซึ่งนโยบายทางการเมืองและสถาบันที่เอื้ออำนวยให้ประชากรได้รับผลประโยชน์จากตลาดการค้าโลก และยังรวมถึงการเพิ่มของรายได้เฉลี่ยต่อหัว (GDP) ของประชากรในประเทศด้วย ดังนั้นประเทศที่กล่าวถึงเหล่านี้ประชากรได้ทราบถึงประโยชน์และรายได้ที่มากเพิ่มขึ้น และจำนวนความยากจนของประชากรที่ลดจำนวนลง
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าทุกประเทศที่เข้าร่วมทางเศรษฐกิจจะประสบความสำเร็จในระบบเศรษฐกิจโลก ประชากรประมาณสองพันล้านคนที่เข้าร่วม เช่นในประเทศแถบแอฟริกา (Sub-Saharan Africa) ประเทศแถบตะวันออกกลาง ประเทศที่เคยเป็นสหภาพโซเวียตเก่า และคนที่อาศัยอยู่ในประเทศที่ถูกมองข้าม ประเทศที่กล่าวถึงเหล่านี้ไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะนำตัวเองให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโลกได้ เพราะฉะนั้นอัตราส่วนของการค้าขายแลกเปลี่ยนทางการค้าระหว่างประเทศจึงยังคงที่อยู่หรือมิเช่นนั้นก็ลดลง กล่าวคือสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศเหล่านี้ความยากจนเพิ่มมากขึ้น ระดับการศึกษาก็พัฒนาขึ้นน้อยกว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่ปรับตัวเข้ากับกระแสเศรษฐกิจแบบโลกาภิวัตน์ได้ดีกว่า เพราะฉะนั้นจะเป็นการดีที่ประเทศที่ยากจนควรพัฒนาและปรับปรุงสภาพแวดล้อมซึ่งเป็นปัจจัยที่เอื้ออำนวยแก่การลงทุนมากเพิ่มขึ้น(Investment Climate) และควรสนับสนุนให้ประชาชนที่มีฐานะยากจนให้มีการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและควรได้มาซึ่งโอกาสอันได้เปรียบของการปรับปรุงส่งเสริมการลงทุนเช่นว่านี้
ในการปรับปรุงสภาวะแวดล้อมที่เป็นการส่งเสริมการลงทุนในประเทศที่กำลังพัฒนาเพื่อเป็นการสนับสนุนการลงทุนและการสร้างงาน ต้องมีหลักธรรมภิบาลในการบริหารที่ดีทางด้านเศรษฐกิจ (Economic Governance), มาตรการในการต่อสู้กับการคอรัปชั่น (Combat Corruption), ปรับปรุงระบบการทำงานและขั้นตอนการบังคับบัญชาของหน่วยงานราชการ, การปกป้องทางทรัพย์สินทางปัญญา สิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (Small and Medium-sized firms) ซึ่งธุรกิจที่กล่าวนี้คือกุญแจสำคัญในการสร้างและยกระดับมาตรฐานชีวิตของพื้นที่ยากจนที่อยู่ห่างไกลออกไป (rural poor area)
แม้ว่าจะได้กล่าวมาถึงกระแสโลกาภิวัตน์ในหลายๆด้านแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นการยากที่จะให้ความหมายเฉพาะเจาะจงของความสัมพันธ์ระหว่างกระแสโลกาภิวัตน์และความก้าวหน้าพัฒนาทางสังคม โลกาภิวัตน์เป็นหัวข้อที่มีการอภิปรายถกเถียงกันมากที่สุดหัวข้อหนึ่งในเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการพัฒนาการของสังคมในช่วงปี 1990 กระแสโลกาภิวัตน์เป็นสิ่งที่น่าพอใจและส่งผลดีต่อประชาชนและสังคมโดยทั่วไป แต่ในขณะเดียวกันบางคนเห็นว่าโลกาภิวัตน์เปรียบเสมือนพลังผลักดันไปสู่ความหรูหรารุ่งเรืองและให้ประเทศที่ยากจนกว่า (Poorer Countries) พยายามก้าวทันไปกับเศรษฐกิจโลกโดยที่ตัวเองยังไม่พร้อม ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศกำลังพัฒนาโดยทั่วไปมองโลกาภิวัตน์ว่าเป็นเสมือนสิ่งที่จำเป็นในการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ และปัญหาที่จะเกิดขึ้นคือในระดับประเทศ (Domestic)โลกาภิวัตน์จะทำให้ส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อคนชั้นทำงานในเรื่องสวัสดิการสังคม และอาจก่อให้เกิดความไม่เสมอภาคในสังคม ซึ่งปัญหาในเรื่องนี้อาจก่อให้เกิดผลกระทบได้ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่กำลังพัฒนาได้เหมือนๆ กัน
สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้วคือเรื่องเกี่ยวกับการแข่งขันการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากประเทศที่กำลังพัฒนา ส่วนประเทศที่กำลังพัฒนาความกลัวที่เกิดคือการกลัวที่จะไม่สามารถสู้ประเทศที่พัฒนาแล้วได้ในสภาวะการแข่งขันอย่างเสรีและจะทำให้เกิดช่องว่างที่ต่างกันทางเศรษฐกิจในระบบเศรษฐกิจโลกและความกังวลระหว่างกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาว่าโลกาภิวัตน์จะทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศตนอ่อนแอมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจสากลโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกรอบของการส่งออกของประเทศยังไปในลักษณะแคบๆ แต่ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในกรอบของการค้าขายแลกเปลี่ยนได้รับการตอบรับอย่างสูง
ปัญหาอีกประการหนึ่ง คือ ความไม่แน่นอนในระบบเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นที่มีการนำมาลงทุนในประเทศ ซึ่งอาจมีผลเสียกล่าวคือ สถาบันการเงินภายในประเทศไม่แข็งแรงพอที่จะต้านรับไหว (ฐานการเงินของเราอาจจะไม่แข็งแรงพอที่จะต้านรับเงินทุนก้อนใหญ่ที่เข้ามาอย่างรวดเร็วจากต่างประเทศในช่วงระยะเวลาสั้นๆ กล่าวคือ ความไม่พร้อมนั่นเอง) ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการขึ้นลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
วิกฤติการณ์เรื่องกระแสโลกาภิวัตน์ได้เกิดขึ้นในเศรษฐกิจแบบสมัยใหม่ กล่าวคือ เกิดการแข่งขันกันระหว่าง ระบบเศรษฐกิจแบบใช้ค่าจ้างแรงงานต่ำ กับ ระบบเศรษฐกิจที่ใช้ค่าจ้างแรงงานสูง และลดปริมาณการใช้แรงงานที่ไร้ฝีมือ ในขณะที่เศรษฐกิจยังคงพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ และกระแสโลกาภิวัตน์ก็เป็นหนึ่งในแนวโน้มของโลกที่ยังเดินหน้า แนวโน้มหนึ่งข้อในทั้งหมดก็คือเศรษฐกิจโลกอุตสาหกรรมกำลังเติบโตเต็มที่และโลกปัจจุบันก็เปลี่ยนไปเป็นการจ้างแรงงานที่มีฝีมือ
ในความเป็นจริง กระแสโลกาภิวัตน์ได้ทำให้กระบวนการต่างๆ ของโลกง่ายขึ้น และราคาถูกลง โดยนำผลกำไรและประโยชน์ให้กับรูปแบบการลงทุนแบบทุนนิยม นวัตกรรม เทคโนโลยีและราคาที่ถูกลงของสินค้านำเข้า โดยทั่วไประบบของเศรษฐกิจ การจ้างงาน และมาตรฐานการครองชีพของกลุ่มประเทศโลกอุตสาหกรรมย่อมจะดีกว่าประเทศที่เป็นเศรษฐกิจระบบปิด แต่ได้รับประโยชน์ในรูปแบบของกระแสโลกาภิวัตน์ในกลุ่มประเทศต่างๆ นั้นจะไม่เท่ากัน บางประเทศจะสูญเสียผลประโยชน์และยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่ประเทศอุตสาหกรรมได้
นโยบายตอบสนองที่เหมาะสมสำหรับกระแสโลกาภิวัตน์ในประเทศต่างๆ
รัฐบาลควรปกป้องผลประโยชน์ให้กับกลุ่มที่เสียเปรียบ เช่น กลุ่มแรงงานไร้ฝีมือที่ได้ค่าแรงต่ำ  หรือรัฐบาลควรเข้มงวดกับเรื่องสินค้านำเข้า หรือรัฐบาลควรจะเข้มงวดกับการค้าขายแลกเปลี่ยนและนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในประเทศ โดยทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเรื่องการแก้ปัญหาแบบระยะสั้นเท่านั้น สำหรับนโยบายที่รัฐบาลควรจะทำก็คือ เสริมสร้างความผสมกลมกลืนเรื่องกระแสโลกาภิวัตน์ให้กับประเทศตน ในขณะเดียวกันก็ควรจะดูแลแรงงานประเภทได้ค่าจ้างแรงงานต่ำและได้รับผลกระทบกับการเปลี่ยนแปลงนี้ อีกทั้งควรส่งเสริมระบบเศรษฐกิจแบบเปิดให้มีการค้าได้โดยเสรี เพื่อให้มีการแบ่งปันผลประโยชน์กันอย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นนโยบายของรัฐบาลควรจะเป็น 2 สิ่งสำคัญ ดังนี้
  • เน้นฝึกฝนวิชาชีพ และให้การศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติม จุดประสงค์เพื่อให้แรงงานทั้งหลายได้พัฒนาฝีมือของตนให้เหมาะสมกับกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
  • ต้องมีระบบการวางแผนที่ดีด้านสวัสดิการทางสังคม สำหรับช่วยเหลือกลุ่มแรงงานในกรณีที่ไม่มีงานทำ
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วงปี 1990 ที่เกิดใน เม็กซิโก ไทย อินโดนีเซีย เกาหลี รัสเซีย และบราซิล เป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ของโลกาภิวัตน์ จะเห็นได้ชัดว่า ช่วงวิกฤติทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยถ้าไม่มีการเปิดกว้างของตลาดทุนโลกและในขณะเดียวกันประเทศเหล่านี้ก็จะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เลยในการพัฒนาการการเติบโตของประเทศหากไม่มีเงินทุนที่ไหลเวียนเข้ามา ซึ่งวิกฤติการณ์ที่ซับซ้อนนี้เป็นผลมาจากข้อบกพร่องทางด้านนโยบายของรัฐและระบบการเงินระดับประเทศ ซึ่งปัจเจกบุคคลรวมทั้งสังคมระดับประเทศควรระวังและลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
ส่วนวัตถุประสงค์ของทิศทางเศรษฐกิจระดับโลก คือ พยายามทำให้โครงสร้างของเศรษฐกิจและการเงินมั่นคงขึ้น วัตถุประสงค์โดยกว้างๆ คือ ให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีประสิทธิผลเพิ่มขึ้น ซึ่ง IMF เป็นจุดศูนย์กลางและมีบทบาทสำคัญของกระบวนการนี้


ที่มา http://www.baanjomyut.com

โลกาภิวัตน์กับมิติทางสังคม

           โลกาภิวัตน์ มีขอบเขตของความหมายที่กว้างขวางและครอบคลุมทุกมิติอันเกิดจากขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ของมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง กฎหมาย เทคโนโลยี การสื่อสาร รวมทั้งระบบสิ่งแวดล้อม เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เราสามารถแยก โลกาภิวัตน์ของแต่ละด้านได้ดังต่อไปนี้
โลกาภิวัตน์ทางด้านเศรษฐกิจ (Globalization of the Economy)
จากการค้นคว้าจากเอกสารหรือบทความทางวิชาการ พบว่าส่วนใหญ่ จะกล่าวถึง การผสมผสานกันระหว่างอุดมการณ์ระบบการตลาดแบบเสรีนิยม (Liberalism) กับ ความเจริญก้าวหน้าของการติดต่อสื่อสารรวมทั้งเทคโนโลยีการขนส่งซึ่งทำให้เกิดการเคลื่อนย้าย สินค้า บริการ และเงินทุน จากประเทศที่เป็นแกนกลางแห่งการพัฒนาโลก (Core Countries) อันหมายถึงประเทศที่พัฒนาแล้วทางตะวันตก อาทิเช่น สหรัฐอเมริกา ไปยังประเทศที่อยู่ระหว่างกึ่งชายขอบ (Semi-Periphery) ซึ่งหมายถึง ประเทศที่กำลังพัฒนา และประเทศที่อยู่ชายขอบแห่งการพัฒนา (Periphery) ซึ่งหมายถึงประเทศด้อยพัฒนา ตามลำดับ
ชาติตะวันตกต้องการที่จะเปิดตลาดโลกสำหรับสินค้าที่ตนผลิตขึ้นและกอบโกยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร แรงงานราคาถูกจาก ประทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา ผ่านทางการกำหนดนโยบายของผู้เรืองอำนาจในประเทศอันเอื้อประโยชน์ให้แก่การแสวงหาผลประโยชน์ บรรดาประเทศเหล่านี้จะใช้กฎ ระเบียบของสถาบันการเงินระหว่างชาติรวมทั้งข้อตกลงทางการค้าเพื่อบีบบังคับให้บรรดาประเทศที่ยากจนต้องถูกผนวกและลดกำแพงภาษีนำเข้า ยอมปล่อยให้กิจการของรัฐตกอยู่ภายใต้การบริหารงานของต่างชาติ ย่อหย่อนในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรวมทั้งรวมทั้งการลดมาตรฐานการครองชีพของแรงงานฝีมือและไร้ฝีมือ ซึ่งทำให้ได้กำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำ ทว่า ให้ผลตอบแทนเพียงน้อยนิดแก่ผู้ใช้แรงงานจนทำให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับเชิงปฏิเสธความไม่เท่าเทียมกัน(Inequity) การถูกครอบงำจากประชารัฐที่เหนือกว่าในทุกๆด้าน
โลกาภิวัตน์ ทางด้านเศรษฐกิจ(Globalization of Economy)
 จึงหมายถึง บริเวณใดบริเวณหนึ่งบนพื้นโลกที่มีการปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ เชื่อมโยงกันจนเป็นอาณาบริเวณที่กว้างขวาง โดยโลกเศรษฐกิจจะไม่มีพรมแดนในลักษณะที่สอดคล้องกับการแบ่งเขตเกี่ยวข้องกับดินแดนหรืออาณาเขต ซึ่งเป็นเรื่องของรัฐ (State) แต่เป็นเขตแดนทางเศรษฐกิจ โดย โลกาภิวัตน์ในความหมายนี้ จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ โดยมีเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศเป็นกลไกที่สำคัญที่ผลักดันให้กลายเป็นกระแสของการแผ่ขยายอิทธิพลทางการค้าของประเทศที่แข็งแรงกว่าเข้าครอบงำประเทศที่อ่อนแอกว่า โลกาภิวัตน์ทางด้านเศรษฐกิจจะเกี่ยวข้องกับสิ่งต่อไปนี้คือ
ทุน (Capital)
เศรษฐกิจโลกซึ่งจะต้องเป็นไปตามอุดมการณ์ของลัทธิทุนนิยม (Capitalism) ภายใต้การแข่งขันในลักษณะเสรีนิยม (Liberalism) ซึ่งเป็นลักษณะเศรษฐกิจของโลกตะวันตกที่มีเนื้อหาเน้นการสะสมทุนและการค้าแบบเสรี โดยต่างก็จะให้มีการเปิดการค้าระหว่างประเทศให้เป็นการค้าที่ไร้พรมแดนแต่ภายใต้การค้าเสรีนี้ ความได้เปรียบของบริษัทข้ามชาติ ก็จะมีมากกว่า ซึ่งเป็นความเสรีที่ไม่เท่าเทียมกัน ทุนจะมีการเคลื่อนย้ายไปยังประเทศต่างๆของโลกที่ให้เงื่อนไขและผลประโยชน์ที่ได้กำไรสูงสุด  
การครอบงำผ่านทางข้อมูล-ข่าวสาร (Information Hegemony)
การปฏิวัติทางเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้มีการเชื่อมโยงสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็ว โลกถูกเชื่อมด้วยข้อมูลข่าวสารและมักเป็นข้อมูลข่าวสารฝ่ายเดียวจากโลกตะวันตก หรือจากประเทศซึ่งมีอำนาจเศรษฐกิจและการทหารที่เหนือกว่า โดยการครอบงำและสร้างกระแสข่าวตามที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเมืองและเศรษฐกิจของตะวันตก เป็นการครอบงำทางข่าวสาร และวัฒนธรรมซึ่งมีผลต่อความเชื่อของมนุษยชาติในการที่จะต้องบริโภคข่าวสาร, การบริโภคสินค้า, บริการ และวัฒนธรรมของตะวันตกนั้นและเชื่อว่าการบริโภคนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
3) ค่านิยม (Value)
โลกาภิวัตน์ได้สร้างค่านิยมผ่านทางข้อมูลข่าวสาร โดยแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ กล่าวคือ
  • ค่านิยมทางการเมือง
    ทุกประเทศในโลกต้องเป็นแนวประชาธิปไตยแบบตะวันตก ซึ่งประเทศต่างๆ หากจะต้องมีรูปแบบการเมืองการปกครองในแบบเดียวกัน มิฉะนั้นก็จะถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ หรือใช้กำลังทหารเข้าไปปลดปล่อยให้เป็นประชาธิปไตย โดยไม่สนใจต่อความพร้อมหรือวิถีชีวิตของคนในประเทศเหล่านั้น ซึ่งการเมืองในระบบประชาธิปไตย เมื่อถูกผ่านการครอบงำผ่านทางข้อมูลข่าวสารจากโลกตะวันตก ก็จะทำให้ประชาชนมีค่านิยมที่จะเลือกผู้นำที่มีแนวความคิดแบบการค้าเสรีหรือเป็นนายทุนเศรษฐกิจแบบตะวันตกไปเป็นรัฐบาล ซึ่งก็จะมีการแก้ไขกฎเกณฑ์ กฎหมาย เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทข้ามชาติสามารถเข้าไปแข่งขันกับธุรกิจท้องถิ่น ซึ่งมีความอ่อนแอกว่า ซึ่งจะมีผลต่อจะต้องมีการพึ่งพาโลกตะวันตก
  • ค่านิยมทางเศรษฐกิจ
    โลกจะมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ มีการแบ่งงานกันทำ (Division of Labor) โดยถือหลักการว่าที่ไหนถูกก็ผลิตหรือซื้อที่นั่น โดยต่างฝ่ายจะใช้มาตรการทางภาษีให้มีน้อยที่สุด โดยโลกตะวันตกก็จะมีการปกป้องธุรกิจที่ไม่สามารถแข่งขันกันได้ในรูปแบบของการกีดกันทางการค้า ในแบบที่เรียกว่า Non Tariff Barrier (NTB) การค้าของโลกจะตกอยู่ภายใต้กติกาขององค์กรการค้าโลก (World Trade Organization - WTO) ที่โลกตะวันตกไม่กี่ประเทศเป็นผู้บงการ และข้อตกลงในลักษณะที่เป็นทวิภาคี ได้แก่ ที่มาในรูปแบบของเขตการค้าเสรี (Free Trade Area –FTA) ซึ่งหาก WTO ไม่สามารถเอื้อประโยชน์ก็จะมีการทำข้อตกลงความร่วมมือในระดับภูมิภาค ยกตัวอย่างเช่น เขตการค้าเสรีอาเซียน (Asian Free Trade Area - AFTA ), ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเอเชีย-แปซิฟิค (Asia-Pacific Economic Cooperation - APEC) เป็นต้นดังนั้น การค้าเสรีของ Globalization นั้นจึงเป็นความเสรีบนความไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งไม่ใช่ความยุติธรรมทางการค้า
  • ค่านิยมทางสังคม
    โดยการครอบงำทางสังคมวัฒนธรรม โดยผ่านทางข้อมูลข่าวสาร ทำให้การค้าของโลกจะเกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิมนุษยชน (Human Right) การบริโภคนิยม (Consumerism) การนิยมวัตถุ (Materialism) รวมถึงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Environment) ซึ่งจะอนุรักษ์เฉพาะในสิ่งที่ประเทศด้อยพัฒนาไม่พร้อม แต่โลกตะวันตกพร้อม
  • ค่านิยมการปกป้องทางการค้า (Protectionism)
    การค้าโลกาภิวัตน์ จะเกิดขึ้นพร้อมกับการปกป้องทางการค้าในรูปแบบของลิขสิทธิ์ ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าของลิขสิทธิ์ก็จะมาจากโลกตะวันตก ซึ่งจะใช้ลิขสิทธิ์เป็นเครื่องมือในการปกป้องสินค้าและบริการ นอกเหนือจากนี้การใช้มาตรการทางด้านการเงิน ผ่านกองทุนต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund - IMF) หรือ ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank - ADB )และฯลฯ ซึ่งองค์กรทางด้านเศรษฐกิจระดับโลกเหล่านี้มักจะมีเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจข้ามชาติ ก็จัดเป็นส่วนหนึ่งของการปกป้อง รวมทั้งการใช้มาตรการที่ป้องกันผู้ก่อการร้ายของก็อยู่ในกระแสของโลกาภิวัตน์เช่นกัน
อีกความหมายหนึ่งของโลกาภิวัตน์ทางด้านเศรษฐกิจ คือ การที่โลกเราเป็นโลกไร้พรมแดน เป็นโลกที่เรียกว่า Borderless World คือ เป็นโลกของการไหลเวียนทางสินค้า การเงินและการบริการ หรือเป็นยุคที่เรียกว่า Free Trade คือ ยุคการค้าเสรี “โลกาภิวัตน์” เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกที่ทั่วโลกในสังคมปัจจุบัน ไม่ว่าจะในแง่มุมทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม กระแสโลกาภิวัตน์ได้แทรกซึมเข้าไปและส่งผลกระทบให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆ โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจเพราะเกิดการโต้เถียงกันถึงผลของโลกาภิวัตน์ว่าเป็นตัวการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านความร่ำรวยและความยากจนในแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นเกี่ยวกับการแพร่กระจายของกระแสโลกาภิวัตน์นี้ก็แตกต่างกันออกไปตามความคิดของคนซึ่งอยู่ต่างสังคมกัน
ดังนั้นกระแสโลกาภิวัตน์จึงส่งผลเด่นชัดในแง่มุมของเศรษฐกิจเพราะกระแสโลกาภิวัตน์เกิดจากการพัฒนาของระบบทุนนิยมนั่นเอง เพราะฉะนั้นการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ และสังคมรอบโลกเป็นผลมาจากการเกิดการหมุนเวียนของสินค้าและการให้บริการ เงินทุน คนและการพัฒนาการทางความคิดต่างๆ กระบวนการเหล่านี้เป็นผลมาจากนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นโดยมนุษย์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถเห็นได้ชัดเจนจากการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าขายแลกเปลี่ยนและการหมุนเวียนทางด้านการเงิน การเติบโตทางกิจกรรมการค้าขายระหว่างประเทศนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายแบบ กิจกรรมการค้าขายนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นการค้าขายระหว่างบรรษัทข้ามชาติใหญ่ๆ เท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบและระดับชั้นเช่น การค้าขายระหว่างพ่อค้าปลีกตามแนวพรมแดน ไทย-พม่า เพราะกิจกรรมการค้าขายเหล่านี้เป็นแรงผลักดันส่วนหนึ่งของกระแสโลกาภิวัตน์เช่นกัน หรือที่เรียกว่า “Cross-border economic activities”
“Economic Globalization” คือ กระบวนการการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วระหว่างประเทศ กระบวนการเหล่านี้ถูกผลักดันให้ขับเคลื่อนโดยการค้าระหว่างประเทศ (International Trade) การนำเงินเข้ามาลงทุนของต่างชาติ (Foreign Direct Investment) และโดยระบบเงินทุนที่หมุนเวียน กระบวนการเหล่านี้แสดงออกในตัวมันเองในรูปแบบของกิจกรรมต่างๆ ดังต่อไปนี้
  • การค้าขายแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศทางสินค้าและบริการ(International Trade of Goods and Services)
    การเติบโตของประเทศที่นำเข้าซึ่งสินค้าและบริการมาจากต่างประเทศ และการเพิ่มมากขึ้นของประเทศที่ส่งสินค้าออกขายนอกประเทศ และจากสถิติของ World Bank’s World Development Indicators 2000 การค้าขายแลกเปลี่ยนทางการค้าไม่ว่าจะเป็นประเทศที่ร่ำรวย หรือประเทศที่กำลังพัฒนา (Developing Country) ต่างมีสถิติตัวเลขที่ทวีมากเพิ่มขึ้น
  • การลงทุนจากต่างชาติ (Foreign Direct Investment and Short-term Flows)
    การที่บริษัทที่สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ประทศใดประเทศหนึ่งและมาลงทุนในการดำเนินธุรกิจยังประเทศอื่นที่ ทำให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนขึ้นในประเทศนั้นๆ ทำให้หลายๆ ประเทศที่ต้องการเงินสนับสนุนลงทุนจากต่างชาติมีนโยบายมาสนับสนุนและเพิ่มความสะดวกสบายแก่นักลงทุนชาวต่างชาติมากเพิ่มขึ้น
  • การหมุนเวียนของตลาดทุน (Capital Market Flows)
    ในหลายๆ ประเทศ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่กำลังพัฒนา) การออมของประชาชน (saving) มีมากเพิ่มขึ้นในหลายรูปแบบ เช่น การซื้อพันธบัตรต่างชาติและพยายามไม่ลงทุนมากนักเพราะต้องการเก็บรวมทรัพย์สินของตนไว้ด้วยกัน เป็นผลให้ผู้กู้ยืม(Borrower) ที่มีมากเพิ่มขึ้น ต่างต้องหันไปหาแหล่งเงินกู้จากต่างประเทศพร้อมๆ กันกับที่หาในประเทศ
ปัจจุบันแม้ว่าคำว่า “โลกาภิวัตน์” จะใช้กันอย่างกว้างขวาง แต่ความหมายก็ไม่ได้ชัดเจนครอบคลุมโดยทั้งหมดและส่วนใหญ่มักจะกล่าวถึงโลกาภิวัตน์ในด้านของกระบวนการการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศซึ่งเกิดจากการค้าขายแลกเปลี่ยนทางการค้า การลงทุนและเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งมากพอๆกับการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของวิวัฒนาการทางเทคโนโลยี เพราะฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า โลกาภิวัตน์เกี่ยวข้องกับในทุกด้าน ทั้งทางด้านธุรกิจ แรงงาน สินค้า และบริการ
ดังนั้น ปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงโลกาภิวัตน์ จึงเกี่ยวพันและส่งผลถึงสภาพเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่ และหัวข้อที่องค์กรและกลุ่มคนส่วนใหญ่กล่าวถึงคงไม่พ้นในเรื่อง “กระแสโลกาภิวัตน์ : ความยากจนและความไม่เท่าเทียมกัน” (Globalization : Poverty and Inequality) ซึ่งได้โต้แย้งและมีความคิดเห็นแบ่งแยกเป็นสองฝ่ายในเรื่องนี้ เพราะฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าการเปิดตลาดเสรีนำไปสู่ความมั่งคั่ง และการแข่งขันทำให้นำไปสู่นวัตกรรมใหม่ๆ, ความก้าวหน้า, ราคาสินค้าที่ต่ำลง, ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น แต่ขณะเดียวกันกลับมีความเห็นขัดแย้งว่าความเจริญก้าวหน้า การเปิดการค้าเสรีซึ่งเป็นผลทำให้มีการแข่งขันสูงและเป็นเหตุให้เกิดภาวะการแข่งขันในการลดราคาสินค้าทำให้เกิดผลกระทบกับธุรกิจขนาดเล็กซึ่งไม่สามารถต้านทานแรงขายปริมาณมากในราคาขายต่ำของธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งมีเงินทุนมากไว้ได้ ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กนั้นต้องล้มไป
โลกาภิวัตน์ทางด้านสังคม( The social dimension of globalization)
โลกาภิวัตน์ทางด้านสังคม หมายถึง ผลกระทบของโลกาภิวัตน์ที่มีต่อวิถีชีวิตส่วนบุคคล ครอบครัว อาชีพการงาน รวมทั้งชีวิตทางสังคมของผู้คน ประเด็นเน้นหนักจะเกี่ยวข้องกับการทำงาน สภาพการทำงาน รายได้ และการคุ้มครองหรือสวัสดิการสังคม นอกเหนือไปจากนั้น มิติทางด้านสังคมจะครอบคลุมถึง ความปลอดภัยในทรัพย์สิน วัฒนธรรมรวมทั้งอัตลักษณ์ ความสามัคคีการแตกแยก รวมทั้งความสมานฉันท์สามัคคีในครอบครัวและชุมชน
โลกาภิวัตน์ทางด้านสังคมจะมุ่งไปสู่การขจัดปัญหาการว่างงาน ความอยุติธรรม ความไม่เสมอภาค รวมทั้งความยากจน และความยั่งยึนของโลกาภิวัตน์ทุกด้านทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรมและกฎหมาย จะบังเกิดสัมฤทธิ์ผลของโลกาภิวัตน์ขึ้นได้ก็ต่อเมื่อกระแสโลกาภิวัตน์นั้นสนองตอบต่อความต้องการของคนในสังคมในภาพรวม
โลกาภิวัตน์ทางด้านวัฒนธรรม (Globalization of Culture )
การแพร่กระจายของค่านิยม บรรทัดฐาน และวัฒนธรรมตะวันตกจะยิ่งช่วยส่งเสริมแนวคิดแบบทุนนิยมตะวันตก และทำให้วัฒนธรรมท้องถิ่นตกเป็นเหยื่อของวัฒนธรรมการบริโภค เอาชนะจิตสำนึกและจิตวิญญาณ รวมทั้งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของชุมชน
ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทุกด้าน อาทิเช่น การติดต่อสื่อสารทางอินเทอร์เน็ท ดาวเทียม เคเบิลทีวี จะทำลายกำแพงแห่งวัฒนธรรม รายการสาระและบันเทิงจะค่อยๆพัฒนาการรับรู้และความใฝ่ฝันตามความนิยมชมชอบไม่ว่าจะอยู่แห่งใดในโลก ในขณะเดียวกันกับที่ ค่อยๆแทรกซึม ค่านิยม บรรทัดฐาน และวัฒนธรรมที่มีแนวโน้มเอื้อหนุนต่ออุดมการณ์แบบทุนนิยมตะวันตก วัฒนธรรมดั้งเดิมอาจจะตกเป็นเหยื่อ อุดมการณ์บริโภคนิยมจะมีชัยต่อจิตสำนึกชุมชนและความสมานฉันท์สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในสังคม
โลกาภิวัตน์ทางด้านกฏหมาย (Globalization of Law )
ในอดีต กฎหมายเป็นเครื่องมือของรัฐ-ชาติ ซึ่งศาลสถิตย์ยุติธรรมและเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะตำรวจจะเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติในการปกครอง ในลักษณะตรงกันข้าม กฎหมายระหว่างประเทศค่อนข้างจะอ่อนแอรวมทั้งมีอำนาจในการบังคับให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมายค่อนข้างด้อยประสิทธิภาพ
ทว่าโลกาภิวัตน์ทางด้านกฎหมาย ซึ่งหมายถึง การเปลี่ยนแปลงโครงร่างของกฎหมายรวมทั้งการสถาปนาบรรทัดฐานและสถาบันทางด้านกฎหมายของโลก ศาลอาญาของโลก ให้สัตยาบันว่าจะสร้างความยุติธรรมให้แก่บุคคลแห่งรัฐ บนพื้นฐานแห่งกฎหมายอาญาทั่วโลก ในขณะเดียวกันกับที่ความร่วมมือระหว่ารัฐต่อรัฐได้ทำให้เกิดการทดลองใช้ความผิดทางอาญาที่มีความชัดแจ้งร่วมกันว่าเป็นการกระทำความผิด
การเปลี่ยนแปผลงทางด้านกฎหมายทางธุรกิจไปสู่ระดับโลก จะก้าวหน้ามากกว่ากฎหมายอย่างอื่นด้วยเหตุที่หลายประเทศได้บรรลุข้อตกลง กฎ กฎหมายรวมทั้งการปฏิบัติให้เป็นไปตามาตรฐานเดียวกัน ทูตพาณิชย์จากหลายประเทศรวมทั้งผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศได้ร่วมกันร่างกฎหมายว่าด้วยการล้มละลาย ทรัพย์สินทางปัญญา ตราสารเอกสารทางด้านการเงินระหว่างประเทศ หรือ บรรษัทที่มีกิจการระหว่างชาติขนาดใหญ่ ได้ปรับปรุงกฎระเบียบวิธีการปฏิบัติให้ก้าวสู่การเป็นบริษัทระหว่างชาติด้วยการสร้างรูปแบบการปฏิบัติขนาดยักษ์ ด้วยผู้ชำนาญการนับพันคนในมากกว่าสิบประเทศ
โลกาภิวัตน์ทางด้านการเมือง(Globalization of Politics)
ในอดีต ระบบการเมืองของประเทศต่างๆทั่วโลก ต่างมุ่งเน้นไปที่ความพยายามที่จะผดุงไว้ซึ่งความมั่นคงและความมั่งคั่ง ความผาสุกของประชน การพิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อมรวมทั้งสิทธิมนุษยชนที่อยู่ภายใต้อาณัติเขตแดนของตน แต่ด้วยสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางด้านนิเวศน์ การผนึกกำลังกันทางด้านเศรษฐกิจระดับโลก รวมทั้งแนวโน้มของกระแสโลกาภิวัตน์ทางด้านอื่น ได้ส่งผลให้กิจกรรมทางด้านการเมืองขยายตัวสู่ระดับโลกตามไปด้วย ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ ระบบการเมืองจำต้องปรับตัวให้สูงกว่าระดับประเทศ ด้วยการแผนยุทธศาสตร์ระดับโลก อาทิเช่น การสถาปนาสหภาพยุโรป(European Union- EU) หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund) หรือ ธนาคารโลก (World Bank) หรือองค์การการค้าโลก (World Trade Organization)
สรุป
  • โลกาภิวัตน์ เป็น กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมระดับโลก
  • โลกาภิวัตน์ครอบคลุมถึงการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อวิถีการดำรงชีวิตของ ประชาคมโลกทุกด้านทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง กฎหมาย เทคโนโลยีและวัฒนธรรม
  • ผลกระทบต่อวิถีการดำรงชีวิตของประชาคมโลก สามารถแยกออกเป็นสองแนวทาง คือ
    ในทางลบ ผลกระทบนั้นจะหมายความรวมถึง
    - การครอบงำโลกทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของอภิมหาอำนาจ โดยใช้ ความได้เปรียบที่เหนือกว่าทางด้านความก้าวหน้าทางสื่ออิเล็กโทรนิกส์ อำนาจทางด้านเศรษฐกิจ ทลายกำแพงแห่งวัฒนธรรมจนต้องถูกผนวกเข้าเป็นประเทศกึ่งบริวาร และประเทศบริวารในท้ายที่สุด
    ในทางบวก โลกาภิวัตน์ จะหมายความรวมถึง
    -การส่งเสริมปัจจัยทางด้านการค้า การลงทุน เทคโนโลยี ระบบการผลิตข้ามพรหมแดน และการแพร่สะพัดของระบบข้อมูลข่าวสาร ซึ่งทำให้ประชาคมโลกมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันและกันมากยิ่งขึ้น
    -นโยบายและสถาบันต่างๆ ที่เอื้ออำนวยต่อการผนึกกำลังทางด้านเศรษฐกิจของประเทศต่างๆทั่วโลกทั้งในระดับทวิและพหุภาคี อาทิเช่น มาตรฐานการใช้แรงงาน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การควบรวมกิจการ รวมทั้งข้อตกลงว่าด้วยการพิทักษ์ทรัพย์สินทางปัญญา
    - ในความหมายนี้ โลกาภิวัตน์ มิได้เป็นแนวโน้มที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากแต่เป็นผลพวงของนโยบาย ซึ่งสามารถจะเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
ข้อเท็จจริงในสังคมไทย
  • สภาพสังคมไทยปัจจุบัน กำลังเปลี่ยนเข้าสู่ยุคข้อมูลข่าวสารแต่สังคมเกษตรกรรมทั้งแบบดั้งเดิมและแบบใหม่ และสังคมอุตสาหกรรมก็ยังคงอยู่
  • สภาพสังคมไทยในปัจจุบันมีความสับสนและยุ่งเหยิงที่เกิดจากการเชื่อมต่อกันของยุคอุตสาหกรรม ยุคข้อมูลข่าวสารและการประกอบอาชีพเกษตรกรรม
  • คนไทยกว่าร้อยละสี่สิบ ยังคงเป็นเกษตรกรที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม



ที่มา  http://www.baanjomyut.com

แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ในอนาคต

              โดยสรุปการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีทั้ง 3 ประเภทที่กล่าวมาแล้วข้างต้นล้วนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายภายในประชาคมโลกทั้งในยุคปัจจุบันและในอนาคต แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลกระทบทั้งในด้านบวกและด้านลบไปพร้อมๆ กัน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ได้ฉันท์ใด ก็สามารถทำลายล้างชีวิตและสังคมของมนุษย์ได้ฉันท์นั้น เนื่องจากปัจจัยสำคัญที่มีต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงว่าจะไปทางด้านใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ครอบครองเทคโนโลยีจะมี “จริยธรรม” ในการนำไปประยุกต์ใช้มากน้อยเพียงใด ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า “ผู้ใดครอบครองเทคโนโลยี ผู้นั้นครองอำนาจ”
ในสถานการณ์ในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ อาจดูเหมือนว่าในประเทศที่พัฒนาแล้วที่เป็นฝ่ายครอบครองเทคโนโลยีที่สูงกว่าประเทศที่กำลังพัฒนาหรือประเทศด้อยพัฒนา กำลังใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่เป็นเครื่องมือในการครอบงำทางเศรษฐกิจซึ่งประเทศที่ไม่สามารถมีเทคโนโลยีเป็นของตนเองต่างก็มีความจำเป็นต้องพึ่งพิงเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อการพัฒนาประเทศ ทำให้ต้องนำทรัพยากรต่างๆ ที่ตนเองมีอยู่แลกกับการนำเข้าเทคโนโลยีที่ทันสมัย ท่ามกลางการค้าระหว่างประเทศที่อำนาจในการต่อรองกลับตกอยู่กับประเทศที่ครอบครองเทคโนโลยีทำให้เกิดการพัฒนาที่ไม่เท่าเทียมตามมา กล่าวคือ ประเทศด้อยพัฒนาที่ไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตนเองมีสถานะเป็นเพียงประเทศที่เป็นฐานการผลิต เนื่องจากมีทรัพยากรทางการผลิตราคาถูกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรทางธรรมชาติ ที่ดิน แรงงาน ฯลฯ อีกทั้งกฎหมายที่ให้การคุ้มครองเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมไม่มีหรือยังขาดการบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรม ผลที่ตามมาก็คือทรัพยากรเหล่านั้นถูกดูดซับไปเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเจ้าของเทคโนโลยี แต่สิ่งที่ปรากฏภายหลังจากการเข้ามาลงทุนของประเทศมหาอำนาจทางเทคโนโลยีเหล่านั้นก็คือความเสื่อมโทรมของทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศตกต่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดจิตสำนึกและความรับผิดชอบในเรื่องของสิ่งแวดล้อมของประเทศผู้ผลิต
ดังนั้นเมื่อการใช้เทคโนโลยีเป็นไปเพื่อตอบสนองความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันในด้านการค้าระหว่างประเทศ โดยมีได้คำนึงถึงในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์เป็นสำคัญ ก็ทำให้เกิดการกระจุกตัวของความมั่งคั่งในหมู่ประเทศเจ้าของเทคโนโลยี แต่กลับทำให้ประเทศที่ด้อยพัฒนาตกอยู่ในสภาวะด้อยพัฒนาต่อไป
จากสภาวการณ์ข้างต้นคงเป็นบทเรียนราคาแพงของประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายที่จำเป็นต้องปรับตัวในเรื่องการสร้างองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีด้วยตนเอง เพื่อมิให้ตกอยู่ในสถานะของประเทศที่พึ่งพาทางเทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลา เพราะหากประเทศใดไม่มีเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศเป็นของตนเอง ก็เท่ากับว่าการพัฒนาประเทศในอนาคตถูกกำหนดชะตากรรมโดยผู้อื่น ดังนั้นแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีของประเทศต่างๆ อยู่ที่ความพยายามในการสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันในเวทีการค้าโลก ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ หากประเทศใดไม่เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมส่งผลถึงอนาคตที่มืดมนของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หนทางเดียวที่จะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเพื่อการเอาชนะที่ทรงอานุภาพยิ่ง ก็คือการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในด้านต่างๆ ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ รวมทั้งเพื่อทดแทนการนำเข้าทางเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศเปลี่ยนไปจากการพึ่งพาต่างประเทศมาเป็นการพึ่งตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับหลักการพัฒนาตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อันจะทำให้ประเทศชาติสามารถดำรงรงอยู่ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของประชาคมโลกในยุคโลกาภิวัตน์


ที่มา  http://www.baanjomyut.com

นาโนเทคโนโลยีในอนาคต

       นาโนอิเล็กทรอนิกส์ 
เช่น คอมพิวเตอร์นาโน จักรกลนาโน โดยที่ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคตจะมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้การผลิตคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงไปได้อีก เช่น การผลิตเป็น "ชิพความจำ (memory chip)" ที่ใช้โมเลกุลของสสารเป็นทรานซิสเตอร์แทนที่จะเป็นซิลิกอนทรานซิสเตอร์ดังที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
นาโนเทคโนโลยีทางการแพทย์
อาทิเช่น การสร้างหุ่นยนต์ขนาดจิ๋ว (เส้นผ่าศูนย์กลาง 500 – 3,000 นาโนเมตร) หรือขนาดเท่าเม็ดเลือดแดง ซึ่งสามารถเข้าไปรักษาโรค ซ่อมแซมผนังเซลล์ ทำลายไขมันที่อุดตันในเส้นเลือดหรือมะเร็งเนื้อร้ายในจุดที่เราต้องการได้ โดยไม่ต้องใช้การผ่าตัดแต่อย่างไร เป็นต้น หรือการใช้เซลล์ประดิษฐ์ขนาดจิ๋วที่เรียกว่า “นาโนดีคอย” ในการดักจับไวรัส (เอดส์ ตับอักเสบ หรือ ไข้หวัดใหญ่) แทนกลไกภูมิคุ้มกันของร่างกาย รวมทั้งการผลิตแก้วหูเทียม ผิวหนังเทียมสามารถทำขึ้นทดแทนได้อย่างง่ายดาย เป็นต้น

นาโนวัสดุศาสตร์
เช่น ท่อนาโนซึ่งเป็นวัสดุสมัยใหม่ที่มีน้ำหนักเบา แข็งแรงทนทานเป็นพิเศษสามารถกำหนดรูปร่างได้ตามต้องการ รวมถึงวัสดุฉลาดต่างๆ ซึ่งวัสดุฉลาดในแง่ของนาโนศาสตร์ หมายถึงการสร้างวัสดุในระดับนาโนให้สามารถทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงได้ตามเป้าหมาย เช่นโครงสร้างที่ซ่อมแซมตัวเองได้ วัสดุที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้เอง เชื้อเพลิงจรวดที่เผาผลาญอย่างรวดเร็ว เครื่องตรวจจับอาวุธชีวภาพเสื้อผ้าไร้รอยยับและป้องกันรอยเปื้อน ฝุ่นไม่เกาะ ครีมที่สามารถ แทรกซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ลึกยิ่งขึ้น แว่นกันแดดที่ลดการสะท้อนแสง ป้องกันรอยขีดข่วน สีทาผนังที่ป้องกันรังสีอัลตร้าไวโอเล็ต เป็นต้น ซึ่งในอนาคตนาโนเทคโนโลยีจะทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ดีขึ้น ในขณะที่ใช้วัสดุต่างๆ น้อยลง ใช้พลังงานน้อยลง

อย่างไรก็ตามผลทางด้านลบของนาโนเทคโนโลยี อาจจะเกิดขึ้นได้ ถ้าหากว่ามีการใช้เทคโนโลยีนี้ เพื่อการทำลายล้าง เช่น การสร้างเครื่องยนต์ขนาดจิ๋วเพื่อการสังหารหรือทำลายล้างศัตรู อุปกรณ์จิ๋วทางการแพทย์อาจถูกใช้เป็นอาวุธในการฆาตกรรมหรืออาวุธที่มีขนาดเล็ก เรียกว่า Nano-weapon ซึ่งสามารถซุกซ่อนไปก่ออาชญากรรมได้ทุกพื้นที่ โดยเฉพาะอาวุธที่ทำมาจากท่อนาโนคาร์บอนที่ไม่สามารถใช้เครื่องตรวจสอบโลหะตรวจจับได้ เป็นต้น




ที่มา  http://www.baanjomyut.com

ผลิตภัณฑ์นาโนในปัจจุบัน



ปัจจุบันสินค้านาโนมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้านาโน ครีมหน้าเด้งและครีมกันแดดนาโน อุปกรณ์กีฬา ฯลฯ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นที่คุ้นเคยกันมากขึ้น ผลจากการสำรวจพบว่าผลิตภัณฑ์นาโนออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นิตยสารฟอร์บส มีการจัดสิบอันดับผลิตภัณฑ์ นาโนที่มีการออกจำหน่ายในปี ค.ศ.2003 จำนวน 10 อันดับ ผลิตภัณฑ์นาโนที่กล่าวถึงเรียงตามลำดับได้แก่
  1. แผ่นรองในรองเท้าเพื่อเพิ่มความอบอุ่นสำหรับทหารและนักกีฬาสกี ชื่อว่า Shock Doctor และ Aerogel Hotbed คือแผ่นรองที่ทำให้เท้าเย็นสบาย แผ่นรองดังกล่าวอาศัยเทคโนโลยี รูพรุนขนาดนาโนทำหน้าที่เป็นฉนวน จึงทำให้มีประสิทธิภาพดีกว่าวัสดุที่ใช้แบบเดิมถึง 20 เท่าตัว และบางเพียง 2.5 มิลลิเมตรเท่านั้น
  2. ที่นอนซักได้ยี่ห้อ Healthsmart ที่แผ่นผ้าปูด้านบนมีซิป สามารถถอดออกมาทำความสะอาด และผ้านั้นผลิตจากเส้นใยที่มีรูกลวงขนานนาโนสามารถขับไล่เหงื่อและความชื้นขณะที่เรานอนหลับ
  3. ไม้กอล์ฟและลูกกอล์ฟนาโน โดยบริษัท Maruman ของญี่ปุ่น ได้ออกจำหน่ายหัวไม้ไดรเวอร์ที่ผสมลูกบอลคาร์บอนนาโน ทำให้ก้านมีความสามารถในการต้านแรงได้ มากกว่าแบบไทเทเนียมถึง 12% และแข็งกว่าประมาณ 3.6% และทำให้ตีไกลกว่าเดิม 15 หลา
  4. ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว Bionova ที่ผลิตมาเฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละบุคคล ให้เหมาะกับอายุ เชื้อชาติ ชนิดของผิว ของแต่ละคน
  5. ผ้าปิดแผลนาโนซิลเวอร์ยี่ห้อ Ecotru ที่สามารถฆ่าเชื้อโรคและกันการติดเชื้ออย่างดีเยี่ยม
  6. น้ำยาทำความสะอาดนาโนที่ผลิตจากบริษัทเดียวกับข้อ 5 ที่ใช้ฆ่าเชื้อโรคได้ทุกชนิด
  7. สเปรย์กันน้ำนาโน มีการผสมอนุภาคนาโนพิเศษ สามารถใช้เคลือบพื้นผิวต่างๆ ช่วยทำให้น้ำไม่สามารถเกาะและง่ายในการทำความสะอาด
  8. น้ำยาเคลือบกระจกรถยนต์ยี่ห้อ Clarity Defender ที่ช่วยป้องกันหิมะ น้ำฝนและแมลงให้เกาะติดกับกระจกช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่ได้ถึง 34%
  9. ครีมแก้ปวดเมื่อกล้ามเนื้อ ยี่ห้อ Flex-Power ที่ใช้ไลโปโซมขนาด 80 นาโนเมตร บรรจุตัวยาให้สามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังเร็วขึ้น
  10. กาวติดฟัน ที่ผลิตโดยบริษัท 3M ที่มี่ส่วนผสมของอนุภาคซิลิกาขนาดนาโน ช่วยทำให้ติดได้แข็งแรงมากขึ้นและไม่เกาะตัวเป็นก้อนเวลาใช้งาน


ที่มา  http://www.baanjomyut.com

การพัฒนานาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology)

            เนื่องจากนาโนเทคโนโลยีเป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการจัดเรียงตัวของอนุภาคขนาดเล็ก เช่น อะตอมหรือ โมเลกุลเข้าด้วยกัน ดังนั้นเครื่องมือที่ใช้จึงต้องมีความสามรถในการมองเห็นอะตอมได้ ซึ่ง ดร.เกิร์ด บินนิก (Gerd Binnig) และ ดร.ไฮริกช์ รอเรอร์ (Heinrich Rohrer) เป็นผู้ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษขึ้นมาที่เรียกว่า Scanning Tunneling Microscope หรือที่เรียกย่อว่า STM ซึ่งสามารถให้เราได้เห็นภาพของอะตอมเป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1981 (พ.ศ.2524) และทั้งสองคนได้รับรางวัลโนเบลจากผลงานนี้ในปี ค.ศ. 1986 (พ.ศ.2529) ซึ่งนอกจาก STM จะทำให้เราสามารถมองเห็นอะตอมได้เป็นครั้งแรกแล้ว เครื่องมือนี้ยังสามารถนำมาใช้เคลื่อนย้ายและจัดเรียงอะตอมให้อยู่บนพื้นผิวตามตำแหน่งที่ต้องการได้ด้วย
การเคลื่อนย้ายอะตอม ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2532 เมื่อนาย Don Eigler  นักฟิสิกส์ ประจำห้องทดลองของบริษัท IBM ใช้เข็มปลายแหลมของกล้องจุลทรรศน์ STM ทำการเคลื่อนย้าย อะตอมของธาตุ Xenon จำนวน 35 อะตอม มาวางเรียงกันลงบนแผ่นนิกเกิล จนได้เป็น ป้ายชื่อบริษัท IBM ขนาดเล็กที่สุดในโลก คือมีขนาดเพียง 0.0000017 เมตร หลังจากนั้นก็ได้มีการทดลองและศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีในระดับนาโนขึ้นอีกหลายชิ้นเพื่อนำความรู้ที่ได้มาพัฒนาอุปกรณ์ ขึ้นใช้ประโยชน์ ในด้านต่าง ๆ ต่อไป
  
ตัวอย่างงานวิจัยด้านนาโนเทคโนโลยีที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น ในปี ค.ศ. 1985 (พ.ศ.2528) ศ.ดร. ฮาร์โรลด์ โครโต้ (Harold Kroto) นักฟิสิกส์ด้านอวกาศแห่งมหาวิทยาลัยซัสเซ็ก (University of Sussex) สหราชอาณาจักร ร่วมกับ ศ.ดร. ริชาร์ด สมอลลีย์ (Richard Smalley) และ ศ.ดร. โรเบิร์ต เคิร์ล (Robert Curl) ณ มหาวิทยาลัยไรซ์ (Rice university) สหรัฐอเมริกา ได้ค้นพบโครงสร้างโมเลกุลคาร์บอนที่มีรูปร่างเป็นทรงกลมเหมือนลูกฟุตบอลที่ประกอบด้วยคาร์บอน 60 อะตอม นักวิทยาศาสตร์ทั้งสามท่านได้ตั้งชื่อรูปทรงกลมนี้ว่า “บัคมินสเตอร์ฟูลเลอรีน” (Buckminster Fullerene) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า บัคกี้บอล (Bucky ball) ซึ่งผลจากการค้นพบครั้งนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั้งสามท่านได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี ค.ศ. 1996
ต่อมานักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจำนวนมากต่างก็พากันศึกษาคุณสมบัติในด้านต่างๆ ของบัคกี้บอลกันอย่างมโหฬาร หนึ่งในนั้นก็คือการศึกษาสรรพคุณทางยาของบัคกี้บอล ผลจากการศึกษาที่ได้จนถึงปัจจุบันนี้ พอจะสรุปสรรพคุณทางยาของบัคกี้บอลได้ดังนี้
  • สรรพคุณในการเป็นยาต่อต้านไวรัส (Antivirals)
  • สรรพคุณในการเป็นสารต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterials)
  • สรรพคุณในการต่อต้านมะเร็งและเนื้องอก (Tumor/Anti-Cancer therapy)
  • สรรพคุณในการเป็นสารต่อต้านการตายของเซลล์ (Anti-apoptosis agents)
  • สรรพคุณในการเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)
นอกจากคุณสมบัติเชิงฟิสิกส์และเคมีซึ่งสามารถนำมาบั๊คกี้บอลประยุกต์ใช้เป็นยารักษาโรคได้หลายชนิด ยังสามารถนำบัคกี้บอลไปใช้ประโยชน์ในด้านนาโนอิเล็กทรอนิกส์ (nanoelectronic) เป็นส่วนประกอบหลักในการพัฒนาเซลล์สุริยะ รวมทั้งการใช้บัคกี้บอลเป็นตัวบรรจุอะตอมโลหะและโมเลกุลของก๊าซชนิดต่างๆ เช่น ไฮโดรเจน เป็นต้น
นอกจากนี้ในปี 2539 ซูมิโอะ อิจิมา (Sumio Iijima) นักเคมีแห่งบริษัท NEC ประเทศญี่ปุ่น ได้ค้นพบท่อนาโนคาร์บอน (carbon nanotube) ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเส้นผมของมนุษย์ 50,000 เท่า แต่มีคุณสมบัติที่แข็งแรงและเหนียวกว่าเหล็กกล้า 100 เท่า สามารถนำไฟฟ้าหรือว่ากลายเป็นฉนวน (ไม่นำไฟฟ้า) ได้ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวาง เช่น ใช้เป็นสายไฟจิ๋วในเครื่องใช้ไฟฟ้า (nanoelectronics) ใช้ทอเป็นเส้นใยที่มีความละเอียดสูง และทนทานกว่าไทเทเนียม เป็นต้น ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างพากันตื่นตัวและให้ความสนใจต่อนาโนเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น
 
ปัจจุบัน "นาโนเทคโนโลยี" กำลังกลายมาเป็นโครงการศึกษา และวิจัยในระดับชาติของหลายประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ให้การสนับสนุนการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านนาโนเทคโนโลยีมาหลายปีแล้ว โดยมีงบประมาณถึง 116 ล้านเหรียญดอลลาร์ในปี ค.ศ. 1997(พ.ศ.2540) และเพิ่มเป็น 260 ล้านเรียญดอลลาร์ในปี ค.ศ. 1999 (พ.ศ.2542) แต่การตื่นตัวในเรื่องนี้เพิ่งเห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่งเมื่อต้นปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ.2543) ที่ประธานาธิบดีบิล คลินตันได้ออกมากล่าวถึงความสำคัญของนาโนเทคโนโลยีด้วยตนเอง และระบุว่ารัฐบาลทุ่มทุนให้การสนับสนุนวิจัยและพัฒนาในเรื่องดังกล่าวถึง 422 ล้านเหรียญดอลลาร์ (18.5 พันล้านบาท) และจะเพิ่มอีกเป็น 519 ล้านเหรียญดอลลาร์ (กว่า 20,000 ล้านบาท) ในปี ค.ศ. 2001 (พ.ศ.2544) ส่วนในไต้หวัน สถาบัน The Industrial Technology Research Institute (ITRI) ก็ได้จัดตั้งศูนย์วิจัยนาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology Research Center) เมื่อวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 2002 (พ.ศ.2545) โดยจัดสรรเงินประเดิมสำหรับการวิจัยในเวลา 6 ปี เป็นจำนวน 300 ล้านเหรียญดอลลาร์ แนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นในทำนองเดียวกันในวงการวิจัยของประเทศญี่ปุ่น จีน และประเทศในทวีปยุโรป โดยสหภาพยุโรปได้ทุ่มเงินกว่า 13,000 ล้านยูโรในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านนาโนเทคโนโลยี




ที่มา  http://www.baanjomyut.com

ความหมายของนาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology)


คำว่า นาโน (Nano) แปลว่าคนแคระในภาษากรีก แต่ในความหมายทางวิทยาศาสตร์หมายถึง มาตราวัดความยาวตามมาตราเมตริก 1 นาโนเมตร มีขนาด 1 ในพันล้านส่วนของ 1 เมตร (10 - 9 เมตร) แสดงว่า สิ่งใดก็ตามที่มีขนาดความยาว 1 นาโนเมตร จะมีขนาดเล็กมาก ดังนั้น คำว่า นาโนเทคโนโลยีจึงเป็นวิทยาการประยุกต์แขนงใหม่ที่ว่าด้วยเรื่องของการสร้างหรือการสังเคราะห์สิ่งของต่าง ๆ ที่มีขนาดเล็กในระดับโมเลกุล และอะตอม และความหมายที่ง่ายต่อความเข้าใจมากที่สุด ก็น่าจะหมายถึง “เทคโนโลยีขนาดจิ๋ว” นั่นเอง
คำว่านาโนเทคโนโลยี นั้นเดิมทีศาสตราจารย์ริชาร์ด ฟายน์แมน ใช้คำว่า Minimanufacturing ซึ่งหมายความว่าเป็นกระบวนการผลิตสิ่งที่มีขนาดเล็กจิ๋ว จนกระทั่งปี ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2517) ศาสตราจารย์ โนริโอะ ทานิกูชิ (Norio Taniguchi) แห่งมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์โตเกียวเป็นคนแรกที่เริ่มใช้คำว่า “Nanotechnology” (N. Taniguchi, "On the Basic Concept of 'Nano-Technology",  Proc. Intl. Conf. Prod. Eng. Tokyo, Part II, Japan Society of Precision Engineering, 1974)
นาโนเทคโนโลยีถือกำเนิดมาจากแนวความคิดที่ว่า วัตถุในโลกที่เห็นด้วยตาเปล่านั้นประกอบมาจากอะตอมและโมเลกุล ดังนั้นการผลิตสิ่งต่างๆ จึงน่าที่จะทำในลักษณะสร้างสิ่งใหญ่ขึ้นมาจากสิ่งเล็ก (Bottom-UP Manufacturing) ในระดับโมเลกุลหรืออะตอม
นาโนเทคโนโลยีเป็นการผสมผสานของวิทยาศาสตร์หลายแขนง เช่น ชีววิทยา ชีวเคมี วิศวกรรมศาสตร์สาขา หุ่นยนต์ และเครื่องจักรกล จุดมุ่งหมายสูงสุดของนาโนเทคโนโลยีก็คือความสามารถที่จะสร้างและจัดเรียงอนุภาคต่างๆได้ตามความต้องการ เพื่อสร้างสสารหรือโครงสร้างของสารในแบบใหม่ๆที่ให้คุณสมบัติพิเศษที่อาจจะไม่เคยมีก่อน



ที่มา  http://www.baanjomyut.com

นาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology)

         นาโนเทคโนโลยี ดูเหมือนจะเป็นคำที่ค่อนข้างใหม่ แต่จริงๆ แล้ว ได้มีผู้ที่มองเห็นความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีตัวนี้ตั้งแต่เมื่อ 40 ปีกว่า มาแล้ว โดยศาสตราจารย์ริชาร์ด ฟายน์แมน (Richard Feynman - รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ปี ค.ศ. 1965) ผู้เป็นบิดาแห่งนาโนเทคโนโลยี ได้กล่าวถึงการศึกษาทางด้านนาโนเทคโนโลยีเป็นครั้งแรกในการปาฐกถาเรื่อง There’s Plenty of Room at the Bottom ในปี ค.ศ. 1959 (พ.ศ.2502) ว่า "สักวันหนึ่ง เราจะสามารถประกอบสิ่งต่างๆ ผลิตสิ่งต่างๆ ขึ้นมาจากการจัดเรียงอะตอมด้วยความแม่นยำ และเท่าที่ข้าพเจ้ารู้ ไม่มีกฎทางฟิสิกส์ใดๆ แม้แต่หลักแห่งความไม่แน่นอน (Uncertainty Principle) ที่จะมาขัดขวางความเป็นไปได้นี้"
มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่ลังเลและไม่แน่ใจ บางคนมองว่านาโนเทคโนโลยีอาจเป็นเพียงนิยายวิทยาศาสตร์เท่านั้น บางคนเชื่อว่านาโนเทคโนโลยีเป็นเรื่องของอนาคตที่ค่อนข้างไกล ในขณะที่หลายๆ คนเชื่อในความเป็นไปได้ แต่ไม่แน่ใจว่าควรจะพัฒนานาโนเทคโนโลยีขึ้นมาดีหรือไม่
ธรรมชาติได้พัฒนาและใช้งานนาโนเทคโนโลยีเพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆขึ้นมาทั้งสิ้น เช่น เมื่อเซลล์สเปิร์มปฏิสนธิกับไข่ในครรภ์มารดา เกิดเป็นเซลล์เดี่ยวที่แบ่งตัวและพัฒนาจนกลายเป็นทารกที่มีอวัยวะอันซับซ้อน พัฒนาการต่างๆเหล่านั้นเกิดขึ้นโดยมีรูปแบบที่ค่อนข้างแน่นอน มีระบบควบคุมทำให้อะตอมและโมเลกุลต่างๆ จัดเรียงตัว ณ ตำแหน่งที่เหมาะสม หรือการที่เซลล์เชื้อโรคหรือไวรัสเข้าไปในร่างกายสิ่งมีชีวิตและทำการแบ่งตัวออกมานับล้าน แล้วไปทำลายเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย เปรียบเสมือนเครื่องจักรขนาดจิ๋วที่ทำลายสิ่งมีชีวิตอื่น ดังนั้นการก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ ล้วนแล้วแต่เป็นจักรกลนาโน (Nanomachines) ที่มีชีวิตและมีความสามารถในการสร้างสิ่งต่างๆ ด้วยความแม่นยำในระดับอะตอมทั้งสิ้น





ที่มา  http://www.baanjomyut.com

ชีวจริยธรรม (Bioethics)

              ชีวจริยธรรม (Bioethics)
ชีวจริยธรรม หรือ Bioethics ในความหมายเบื้องต้นอย่างกว้าง คือ จริยธรรมของบุคคลหรือสังคม ต่อสรรพชีวิตหรือสิ่งมีชีวิตทั้งมวลที่เกิดขึ้นบนโลก ซึ่งแต่เดิมมีเฉพาะชีวิตที่เกิดขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ต่อมาจากความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ ทำให้ชีวิตเกิดขึ้นมาได้จากกระบวนการหรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ อย่างไม่เป็นธรรมชาติด้วย ส่งผลให้เกิดความซับซ้อนต่อประเด็นของ ชีวจริยธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทบาทและผลกระทบจากโครงการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์  ( Human Genome Project ) ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 (พ.ศ.2533) และประกาศความสำเร็จของโครงการในการถอดรหัสยีนมนุษย์ได้ทั้งหมดเมื่อปี ค.ศ.2003 (พ.ศ.2546)
นอกจากนี้ความหมายของชีวจริยธรรมยังรวมถึง จริยธรรมของการนำความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับพันธุกรรม (หรือยีน) ของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ไปใช้ให้ถูกต้อง (อย่างมีศีลธรรมและคุณธรรม) ด้วย ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับชีวจริยธรรมที่เป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้างทั้งในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์และประชาคมโลก มีดังนี้
สิทธิบัตรยีน
สิทธิบัตร เป็นรูปแบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาแบบหนึ่งที่ให้ความคุ้มครองสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ระบบสิทธิบัตรนี้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายภายใต้เหตุผลสนับสนุนที่ว่า การให้สิทธิบัตรจะทำให้นักประดิษฐ์มีกำลังใจที่จะทำงานประดิษฐ์ต่อไป ผู้ใดก็ตามที่ประดิษฐ์ ลอกเลียน หรือหาผลประโยชน์จากวัตถุที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองแห่งสิทธิบัตรโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ถือสิทธิบัตรจะมีความผิดและอาจได้รับการลงโทษทางกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีชีวภาพนี้ได้สร้างประเด็นข้อถกเถียงในการขอจดสิทธิบัตรในสิ่งประดิษฐ์ทางด้านนี้อย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้คือเรื่องของ “การจดสิทธิบัตรยีน”
เรื่องการจดสิทธิบัตรยีนในสหรัฐอเมริกา มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งปกติสำนักงานสิทธิบัตรจะไม่รับจดการค้นพบกฎทางธรรมชาติ เช่น เซอร์ไอแซค นิวตัน ค้นพบกฎของแรงโน้มถ่วง หากมีการจดสิทธิบัตรไว้ คนที่ใช้แรงโน้มถ่วงก็ต้องเสียค่าสิทธิประโยชน์หมด กล่าวได้ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน ก็ต้องจ่ายสตางค์ค่าสิทธิประโยชน์ มิฉะนั้นถือว่าละเมิดสิทธิ์
บริษัทเอกชนต่าง ๆ ที่ทำงานด้าน Biotechnology ต่างอ้างว่ามีความจำเป็นต้องลงทุนหลาย ร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการค้นหาลำดับยีนเพื่อนำไปสู่การผลิตตัวยาใหม่ๆ ตลอดจนการวิเคราะห์โรค หากไม่มีการป้องกันทรัพย์สินทางปัญญาที่ค้นพบแล้ว คงจะไม่มีบริษัทไหนกล้าลงทุนมหาศาลเช่นนี้ แต่หากมีการจดสิทธิบัตรยีน โดยเฉพาะผลิตจากพืช GMOs สังคมเกษตรกรรมจะได้รับผลกระทบเป็นอันดับแรก เกษตรกรอาจจะได้รับสิทธิในการเพาะปลูกพืช GMOs แต่เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ที่ได้จากพืช GMOs นั้นไม่สามารถสืบพันธุ์ต่อได้ เมื่อเกษตรกรปลูกพืช GMOs หมดไปแล้วหนึ่งรุ่น หรือต้องการขยายพันธุ์พืชเพิ่ม เกษตรกรก็ต้องเอาเมล็ดพันธุ์มาจากเจ้าของลิขสิทธิ์ แน่นอนว่าเกษตรกรก็ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ด้วย ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์ก็ไม่ใช้ใครอื่น แต่เป็นนายทุนที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจนั่นเอง และปัญหาสำคัญก็คือจะแน่ใจได้อย่างไรว่านายทุนจะไม่เอาเปรียบเกษตรกร
ในทางตรงกันข้าม ประเทศที่ไม่มีการยอมรับพืช GMOs ก็จะถูกกดดันจากประเทศมหาอำนาจอย่างรุนแรง อาจถูกกล่าวหาว่าเป็นประเทศที่ล้าหลัง และเพื่อหลุดพ้นจากคำว่า ประเทศล้าหลัง ประเทศนั้นก็จำต้องสั่งซื้อเทคโนโลยีจากประเทศมหาอำนาจ เพื่อนำมาผลิตพันธุ์พืช GMOs ผลที่เกิดขึ้นก็คือ เกิดการผูกขาดทางเศรษฐกิจ เช่น ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เทคโนโลยีทุกปี การซ่อมบำรุงต้องได้รับความเห็นชอบจากประเทศมหาอำนาจเท่านั้น หรือแม้แต่การค้นคว้าทดลองพืช GMOs ก็ต้องรายงานต่อเจ้าของเทคโนโลยี เป็นต้น
นอกจากนี้ ประเทศที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาจมีการจดลิขสิทธิ์พืช GMOs ที่ตนได้ทำการค้นคว้าทดลอง แม้ว่าพืชที่เป็นสายพันธุ์ธรรมชาติจะไม่ใช่ของประเทศตนก็ตาม เช่น ประเทศในเขตหนาวอาจมีการนำสายพันธุ์พืชในเขตร้อน อาทิ ยางพารา อ้อย ไปดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อปลูกในเขตหนาวได้หรือจดสิทธิบัตรเพื่อนำกลับมาขายยังประเทศในเขตร้อน ซึ่งแม้ว่าจะมีกฎหมายควบคุมพืช GMOs แต่ก็จะแน่ใจได้อย่างไรว่านักกฎหมายจะตั้งข้อกฎหมายโดยไม่มีช่องว่าง หรือเปิดโอกาสให้กับประเทศมหาอำนาจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากพันธุ์พืช  
การโคลนนิ่งมนุษย์
หากจำแนกตามวัตถุประสงค์ การโคลนนิ่งมนุษย์อาจแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ การโคลนนิ่งเพื่อการบำบัดรักษา (therapeutic cloning) กับ การโคลนนิ่งเพื่อการสืบพันธุ์ (reproductive cloning)
  • การโคลนนิ่งเพื่อการบำบัดรักษา เช่น การนำเซลล์สมองใส่เข้าไปเพื่อบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์หรือโรคพาร์คินสัน หรือการนำเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างเนื้อเยื่อใส่เข้าไปในร่างกาย เพื่อให้สร้างเนื้อเยื่อทดแทนในกรณีที่ผู้ป่วยมีบาดแผลพุพองจากไฟไหม้ เป็นต้น
  • การโคลนนิ่งเพื่อการสืบพันธุ์ เช่น คู่สมรสอยู่ในภาวะมีบุตรยากหรือเนื่องจากอยู่ในภาวะเป็นหมันถาวรคู่สมรสที่ไม่สามารถมีบุตรได้ด้วยวิธีการตามธรรมชาติ ความต้องการมีบุตรของกลุ่มรักร่วมเพศ การโคลนเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดปกติทางพันธุกรรมของบุตร เป็นต้น
อย่างไรก็ตามประเด็นเรื่องของการโคลนนิ่งมนุษย์มีข้อที่ต้องพิจารณาสำคัญ คือ ความเสี่ยงในการโคลนนิ่ง เช่น เซลล์ที่นำมาโคลนอาจตายหรือได้มนุษย์ที่ผิดปกติ หรือหากนำเซลล์จากมนุษย์ที่มีอายุ 40 ปีมาโคลน มนุษย์ดังกล่าวจะมีอายุจริงเท่าไร ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสี่ยงเหล่านี้ มนุษย์ที่เกิดจากการโคลนนิ่งจะมีฐานะทางกฎหมายอย่างไร
นอกจากนี้การโคลนนิ่งยังไม่เป็นที่ยอมรับจากทางศาสนาคริสต์โดยมองว่าหน้าที่สร้างสิ่งมีชีวิตเป็นของพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์ นอกจากนี้ ประเด็นการโคลนนิ่งมนุษย์ยังกังวลเกี่ยวกับวัตถุประสงค์อื่นที่แฝงอยู่ ตัวอย่างเช่น อาจมีต้องการที่โคลนนิ่งตัวซัดดัม ฮุดเซนขึ้นมาเพื่อปกครองประเทศอิรักต่อไป หรืออาจโคลนนิ่งมนุษย์ขึ้นมาเพื่อเป็นทหารในการสู้รบ เป็นต้น
แม้ในปัจจุบันจะยังไม่ยอมให้โคลนมนุษย์ได้ทั้งคน แต่ถ้าเป็นอวัยวะต่างๆ อาทิ ไต ตับ ตา ปอด หัวใจ จะยอมให้มีการโคลนหรือไม่ เนื่องจากอวัยวะเหล่านี้เป็นที่ต้องการสำหรับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องเปลี่ยนอวัยวะ ในปัจจุบันมีผู้บริจาคอวัยวะน้อย แต่ผู้รอรับบริจาคอวัยวะมีมาก เรื่องนี้จึงเป็นอีกเรื่องที่มีการถกเถียงกันมากขึ้นทุกวัน



ที่มา  http://www.baanjomyut.com

โครงการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ (The Human Genome Project)

                  เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2533 โดยเป็นความร่วมมือวิจัยระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี ญี่ปุ่นและจีน นำโดยสถาบันวิจัยรหัสพันธุกรรมมนุษย์แห่งชาติ (National Human Genome Research Institute: NGHRI) ของสหรัฐฯ มีภารกิจในการศึกษารหัสพันธุกรรมของมนุษย์เพื่อถอดรหัสการจัดเรียงตัวของ DNA เพื่อทำแผนที่ยีนทั้งหมดในโครโมโซม ในเดือนเมษายน พ.ศ.2546 โครงการประสบความสำเร็จ ผลจากการศึกษาทำให้ทราบว่าในมนุษย์มีหน่วยพันธุกรรม 3 พันล้านตัว ซึ่งช่วยให้แพทย์และนักวิทยาศาสตร์เข้าใจการทำงานของร่างกายอย่างลึกซึ้งที่สุดในประวัติศาสตร์
การถอดรหัสยีนและทำแผนที่ยีน (Human Genome & Gene Mapping) จะทำให้เราทราบถึงความลับของกลไกแห่งความเป็นมนุษย์ทั้งทางกายภาพและพฤติกรรม รวมทั้งการเจ็บไข้ได้ป่วยและความผิดปกติทางพันธุกรรมตั้งแต่ก่อนการปฏิสนธิ เช่น รู้ว่าเด็กคนใดเกิดมาแล้วจะมีพฤติกรรมอย่างไร จะเป็นคนเก่งกาจแค่ไหน รวมทั้งจะเป็นโรคอะไร และจะมีอายุมากน้อยเพียงใด จุดมุ่งหมายสำคัญของโครงการนี้ก็เพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ หรือเป็นอุปสรรคต่อคุณภาพชีวิตของมนุษย์ที่มีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์หรือความผิดปกติของยีนได้ล่วงหน้า เช่น โรคโลหิตเป็นพิษ โรคอัลไซเมอร์ โรคแก่เกินวัย เป็นต้น ซึ่งการค้นพบดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดผลดีในแง่การป้องกัน แต่ในขณะเดียวกันก็อาจส่งผลต่อจิตใจผู้ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น กรณีที่หญิงบางคนได้ทราบล่วงหน้าว่าลูกในท้องที่จะเกิดออกมาจะมีพฤติกรรมเลวร้าย จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ขวบ เป็นต้น
ปัจจุบัน แผนที่พันธุกรรมได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่แวดวงวิทยาศาสตร์อย่างน้อย 3 ประการคือ
  • ทำให้แพทย์สามารถนำข้อมูลพันธุกรรมไปใช้ในการทดสอบทางพันธุกรรมแก่คนไข้ ซึ่งหากทราบว่าคนไข้มีความโน้มเอียงที่จะเกิดโรคทางพันธุกรรม แพทย์ก็จะสามารถหาทางป้องกันหรือบำบัดรักษาคนไข้ล่วงหน้าได้
  • ทำให้การวินิจฉัยหรือทำนายโรคมีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ซึ่งเมื่อแพทย์สามารถทำนายความรุนแรงของโรคโดยศึกษาจากลายพิมพ์ทางพันธุกรรม (genetic fingerprint) แล้วก็จะทำให้สามารถวิเคราะห์ถึงผลดีและผลเสียของวิธีการบำบัดรักษาด้วยวิธีการต่างๆ กันได้ อันจะทำให้ทั้งแพทย์และผู้ป่วยสามารถลดความเสี่ยงจากการบำบัดรักษาที่อาจมีผลข้างเคียงได้
  • ช่วยให้มีการพัฒนาวิธีการบำบัดรักษาในระดับโมเลกุล กล่าวคือเมื่อสามารถทราบว่ายีนใดเป็นสาเหตุของโรคพันธุกรรมแล้ว ก็จะทำให้ทราบสาเหตุของโรคนั้นแล้วพัฒนาวิธีบำบัดรักษาที่สาเหตุของโรค เช่น ควบคุมมิให้ยีนดังกล่าวแสดงออก หรือเปลี่ยนแปลงยีนที่ทำหน้าที่บกพร่องด้วยการทำยีนใหม่เข้าไปทดแทน
ในขณะนี้มีการค้นพบยีนใหม่ๆ ของมนุษย์อยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น ยีนที่ควบคุมการสร้างภูมิคุ้มกันโรค ยีนควบคุมความอ้วน ยีนควบคุมการชัก ยีนที่เป็นสาเหตุของโรคพาร์คินสัน และแม้แต่ยีนที่ส่งผลให้เซลล์จบชีวิตของตนเองลง เป็นต้น ซึ่งเป็นที่คาดหวังว่า 20 ปีข้างหน้าจะเป็นยุคใหม่ของการแพทย์ที่เราเข้าใจกลไกการดำรงชีวิตของเราเอง กลไกของการชราภาพ และการเกิดโรคต่างๆ จนสามารถคิดค้นยาและวิธีการที่จะทำให้ชีวิตยืนยาวขึ้น สุขภาพแข็งแรงขึ้น และคุณภาพชีวิตดีขึ้น
โครงการถอดรหัสพันธุกรรมจุลินทรีย์ (Microbial Genome Project)
ในปี ค.ศ.1994 (พ.ศ.2537) Department of Energy ของสหรัฐอเมริกาได้เริ่มโครงการถอดรหัสพันธุกรรมจุลินทรีย์ (Microbial Genome Project หรือ MGP) ขึ้นโดยอาศัยเทคโนโลยีที่ได้จากโครงการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ วัตถุประสงค์ของโครงการคือนำความรู้ที่ได้มาใช้ในการผลิตพลังงาน ใช้ในการรักษาสิ่งแวดล้อม ลดขยะพิษ และใช้ในอุตสาหกรรม
บนโลกของเรามีจุลินทรีย์อยู่มากมาย แต่มนุษย์มีความรู้เกี่ยวกับโลกของจุลินทรีย์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากไม่ทราบว่ามีจุลินทรีย์ทั้งหมดกี่ชนิด แต่ละชนิดมีธรรมชาติเป็นอย่างไร ประมาณการกันว่ามนุษย์รู้จักจุลินทรีย์เพียง 0.01% เท่านั้น
โครงการถอดรหัสพันธุกรรมจุลินทรีย์จะช่วยให้มีความเข้าใจจุลินทรีย์อย่างลึกซึ้งเพียงพอที่จะนำมาพัฒนางานหลายด้าน เช่น ด้านแหล่งพลังงานชีวภาพอย่างการสังเคราะห์แสง เป็นต้น           ด้านกระบวนการผลิตก็สามารถใช้สารเคมีที่ไม่เป็นพิษและเอนไซม์ที่ผลิตโดยจุลินทรีย์มาช่วยให้ต้นทุนต่ำและประสิทธิภาพสูง เอนไซม์จากจุลินทรีย์ที่ใช้กันแพร่หลายแล้วในปัจจุบัน ได้แก่ เอนไซม์ที่ใช้ฟอกเยื่อกระดาษ ฟอกผ้ายีนส์ ล้างคราบลิปสติกจากเครื่องแก้ว ย่อยแป้งในโรงงานเบียร์ และตกตะกอนโปรตีนในการผลิตชีส ด้านการแพทย์ก็มีความคาดหวังว่าลำดับดีเอ็นเอของจุลินทรีย์อาจจะช่วยให้พบยีนมนุษย์ใหม่ ๆ และพบกลไกการทำให้เกิดโรคของเชื้อโรค ในด้านสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะสามารถพัฒนาระบบการผลิตทางชีวภาพที่เป็นเทคโนโลยีสะอาด (clean technology) ได้ เหนือสิ่งอื่นใดทางเทคโนโลยีคือ แนวความคิดที่จะสร้างหรือพัฒนาสิ่งมีชีวิตขึ้นเองโดยให้มีลักษณะและคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์แต่ใช้ทรัพยากรที่ไม่มีวันหมดหรือขยะเป็นอาหาร


ที่มา  http://www.baanjomyut.com

ยีน การโคลนนิ่ง และการตัดต่อยีน

     ยีน (Gene) คือ คำสั่งให้สิ่งมีชีวิตมีลักษณะตามพันธุ์ของมัน ยีนจะเป็นตัวสั่งการสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดว่าจะมีรูปร่าง หน้าตาอย่างไร จะสร้างหรือผลิตอะไรออกมา ยีนอยู่ในเซลล์ซึ่งเป็นส่วนย่อยของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตจะมียีนจำนวนมากน้อยขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของสิ่งมีชีวิตนั้น ตั้งแต่ไม่ถึงสิบในไวรัส จนถึงนับแสนในมนุษย์
ยีน คือ สารเคมีที่เรียกว่า ดีเอ็นเอ DNA (Deoxyribonucleic Acid) ประกอบด้วย หน่วยย่อยที่เรียงตัวกันเป็นลำดับ เสมือนตัวอักษรที่เรียงกันเป็นข้อความกำหนดลักษณะทางพันธุกรรม ที่สามารถถ่ายทอดต่อไปยังลูกหลานได้ ดีเอ็นเอ มีโครงสร้างเป็นสายคู่ พันกันเป็นเกลียวคล้ายบันไดเวียนที่แต่ละขั้นเป็นตัวอักษรแต่ละตัว เมื่อยีนทำงานกลไกของเซลล์จะอ่านรหัสในดีเอ็นเอแล้วแปลออกมาเป็นการผลิตโปรตีนต่างๆ โปรตีนบางตัวเป็นส่วนประกอบของโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตนั้น บางตัวเป็นตัวทำหน้าที่ต่างๆ ของเซลล์ เช่น ย่อยอาหาร สร้างส่วนประกอบอื่นๆ ของเซลล์ ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม
การที่แต่ละยีน แต่ละโปรตีน มีหน้าที่โดยเฉพาะทำให้เราสามารถตัดยีนแต่ละยีนออกมาจากสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง แล้วนำไปใส่ในสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีกลไกในการทำให้ยีนจากที่อื่นสามารถทำงานได้ เราจะเรียกพืชหรือสัตว์ที่มียีนไม่ใช่ของตัวเองอยู่น้อยว่า พืชข้ามพันธุ์ หรือ สัตว์ข้ามพันธุ์ (Transgenic plant or transgenic animal)  
การโคลนนิ่ง (Cloning)
ตามความหมาย โคลนนิ่ง (Cloning) หมายถึงการคัดลอก หรือทำซ้ำ (copy) นั่นเอง สำหรับทางการแพทย์ หมายถึงการสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ ซึ่งมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนของเดิมทุกประการ การโคลนนิ่งเกิดอยู่เสมอในธรรมชาติ ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนได้แก่ การเกิดฝาแฝดเพศเดียวกันและหน้าตาเหมือนกัน นั่นเอง กระบวนการโคลนนิ่งที่มนุษย์ทำขึ้น ได้นำมาใช้เป็นเวลานานแล้วโดยเราไม่รู้ตัว ได้แก่การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช และตัวอ่อนสัตว์ โดยการแยกเซลล์ ซึ่งทำกันทั่วไปในวงการเกษตร
การโคลนนิ่งที่ทำได้ยากที่สุดคือการโคลนนิ่งสัตว์ นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามโคลนนิ่งสัตว์มาเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งการโคลนนิ่งสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังบางชนิด ทำได้ง่ายมาก เช่น ถ้าเราตัดปลาดาวออกเป็นสองส่วน แต่ละส่วนจะสามารถงอกเป็นปลาดาวตัวใหม่ทั้งตัวได้ แต่การโคลนนิ่งสัตว์มีกระดูก สันหลัง ทำได้ยากกว่ามาก
ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันโรสลิน ประเทศสกอต์แลนด์ ได้สร้างแกะที่เกิดจากการโคลนเป็นผลสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก โดยเอาเซลล์ต่อมน้ำนมของแกะตัวหนึ่ง ไปผสมกับไข่ที่ไม่มีดีเอ็นเอของแม่แกะอีกตัวหนึ่ง (เนื่องจากดีเอ็นเอของไข่ถูกดูดออกไป) แล้วใช้ไฟฟ้ากระตุ้นทำให้ไข่นั้นพัฒนาไปเป็นตัวอ่อนได้ ตัวอ่อนที่ได้นี้จะมีเฉพาะดีเอ็นเอที่ได้จากเซลล์ต่อมน้ำนมจากแกะตัวแรกเท่านั้น จึงถือว่าตัวอ่อนนี้เป็นโคลนของแกะตัวแรก เปรียบได้กับการทำสำเนานั่นเอง
หลังจากนั้น ตัวอ่อนที่ได้นี้ก็ถูกนำไปฝากไว้ในครรภ์ของแม่แกะอีกตัวหนึ่ง จนกระทั่งแม่อุ้มบุญตัวนี้คลอดลูกออกมา ลูกแกะตัวนี้มีชื่อว่า “ดอลลี่” ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2539 จากนั้นเป็นต้นมา นักวิทยาศาสตร์หลายกลุ่มก็ได้พัฒนาเทคนิคการโคลนนิ่งแบบอื่นที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น รวมทั้งได้มีการโคลนสัตว์อื่นๆ เช่น วัว หนู แมว สุนัข เป็นต้น

ประโยชน์ที่ได้รับจากโคลนนิ่ง ได้แก่
  • ทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้เข้าใจขบวนการทำงานของยีน และการจำแนกชนิดของเซลล์ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ได้ในการแพทย์ เช่น ในอนาคตเมื่อเราทราบปัจจัยที่ทำหน้าที่ ปิด หรือเปิด การทำงานของยีน จะสามารถนำมารักษาโรคได้ เช่น ผู้ป่วยสมองตายจากอัมพาต  ในอนาคตอาจสามารถกระตุ้นให้เซลล์สมอง แบ่งตัวทดแทนเซลล์ที่ตายไปได้ หรือผู้ป่วยที่ไตวาย สามารถกระตุ้นการทำงานและแบ่งตัวเซลล์ไตที่เหลืออยู่ให้ทำหน้าที่ทดแทนได้
  • มีประโยชน์ในการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์และพืชหายาก และใกล้สูญพันธุ์ ให้แพร่ขยายจำนวนขึ้นได้รวดเร็วกว่าการผสมพันธุ์กันตามธรรมชาติ
  • คู่สมรสที่ไม่มีโอกาสให้กำเนิดบุตรด้วยวิธีอื่น อาจมีโอกาสได้บุตรมากขึ้น
  • ด้านการปลูกถ่ายอวัยวะ อาจได้อวัยวะที่เข้ากันได้ ลดความเสี่ยงต่อการใช้ยากดภูมิคุ้มกัน  
การตัดต่อยีน (การดัดแปลงพันธุกรรม)
การตัดต่อยีนเป็นเทคโนโลยีที่มุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ เกิดจากการนำยีน (gene) หรือสารพันธุกรรมจากสิ่งมีชีวิตอื่นใส่เข้าไปในสิ่งมีชีวิตที่ต้องการทำให้เกิดใหม่ตามลักษณะหรือคุณสมบัติที่ต้องการ หรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากพันธุ์ที่มีในธรรมชาติ เทคโนโลยีดังกล่าวทำให้เกิด “สิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการดัดแปลงพันธุกรรม” (GMOs) ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีชีวภาพการตัดต่อยีนในอนาคตได้แก่ การพัฒนาพันธุ์พืชและสัตว์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเกษตร ปศุสัตว์ อุตสาหกรรม เคมีอุตสาหกรรม อาหาร ยารักษาโรค รวมทั้งการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของโลก
ประโยชน์จาก GMO
  • ปรับปรุงพันธุ์พืช
    - การพัฒนาพันธุ์พืชต้านทานแมลงและโรค
    - การพัฒนาพันธุ์พืชให้มีคุณภาพผลผลิตที่พึงประสงค์ เช่น สุกงอมช้าลง
    - การพัฒนาพันธุ์พืชให้ผลิตสารพิเศษ เช่น มีวิตามินมากขึ้น มีกลิ่นหอมมากขึ้น ตัวอย่าง เช่น มะเขือเทศสุกงอมช้าและไม่นิ่ม ฟักทองต้านไวรัส ถั่วเหลืองต้านวัชพืช มันฝรั่งต้านแมลง ฝ้ายที่ทนยาฆ่าวัชพืช Bacillus Thuringiensis (BT) ข้าวที่มีวิตามินเอ เมล็ดทานตะวันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เป็นต้น
  • การพัฒนาพันธุ์สัตว์
    - โตเร็วกว่าปกติ และมีขนาดใหญ่กว่าปกติ
    - กินอาหารลดลง และขับถ่ายของเสียลดลง
    - ทนทานโรคและแมลง ตัวอย่าง เช่น ลูกหมูโตเร็วกว่าปกติ ถึงร้อยละ 40 และมีขนาดใหญ่กว่าหมูปกติ ในขณะที่กินอาหารลดลง 25% หมูเหล่านี้ขับถ่ายของเสียลดลงมาก วัวที่ทนโรคและแมลง ไข่ไก่ที่มีโคเลสเตอรอลน้อยลง ปลาทูน่าโตเร็วและต้านทานโรค เป็นต้น
ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแรกที่ผลิตสินค้าสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (GMOs) และในปี พ.ศ. 2523 ได้มีการอนุญาตให้จดทะเบียนสิทธิบัตรจุลินทรีย์ที่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรม ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 มีการจดสิทธิบัตรสัตว์ที่มีการดัดแปลงทางพันธุกรรม รวมทั้งมีการนำมาทดสอบในภาคสนาม และในปีพ.ศ. 2536 เริ่มมีผลิตภัณฑ์ GMOs ออกมาจำหน่ายในในเชิงพาณิชย์ ซึ่งปัจจุบันมีสินค้า GMOs ที่ได้รับอนุญาตจาก Food and Drug Administration (FDA) ให้วางจำหน่ายในตลาดของประเทศสหรัฐอเมริกาประมาณ 40 รายการ เช่น ถั่วเหลือง Roundup ready ฝ้ายบีที ข้าวโพดบีที และมันฝรั่งบีที เป็นต้น เนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกา ถือว่าสินค้าเหล่านี้ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
และในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการเพาะปลูกพืช GMOs ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในปี พ.ศ. 2540 มีพื้นที่เพาะปลูกพืช GMOs ทั้งหมด 68.75 ล้านไร่ และในปีพ.ศ. 2541 ได้เพิ่มเป็น 173.75 ล้านไร่ โดยแบ่งเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา 128.13 ล้านไร่ ประเทศอาร์เจนตินา 26.99 ล้านไร่ ประเทศออสเตรเลีย 17.5 ล้านไร่ และนอกจากนี้ยังมีประเทศอื่นๆเช่นประเทศเม็กซิโก สเปน ผรั่งเศส จีน อินเดีย และแอฟริกาใต้ โดยในปัจจุบันมีพืช GMOs ทั้งหมดประมาณ 40-50 ชนิดเช่นถั่วเหลือง ข้าวโพด ฝ้าย คาโนลา มันฝรั่ง มะเขือเทศ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัญหาของผลิตภัณฑ์ GMOs อยู่ในความสนใจของคนทั่วไปมากขึ้น เนื่องจากยังไม่มีความแน่ชัดว่าสิ่งมีชีวิตตัดต่อยีนนี้จะไม่เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคและส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม หรือความหลากหลายทางชีวภาพ ทำให้หลายๆประเทศจึงพยายามหามาตรการเพื่อควบคุมความเสี่ยงดังกล่าว ซึ่งในระดับนานาชาติมีมาตรการในการควบคุมพืชจีเอ็มโอกำหนดไว้ โดยได้จัดทำพิธีสารว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพ ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งมีสาระสำคัญประการหนึ่งคือ การเสนอให้ใช้หลักการตกลงที่ได้มีการเห็นชอบล่วงหน้า โดยสินค้าส่งออกจีเอ็มโอต้องให้ข้อมูลอย่างละเอียดต่อประเทศผู้นำเข้า โดยเฉพาะข้อมูลด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ รวมทั้งการจัดการประเมินความเสี่ยงเพื่อขออนุญาตนำเข้า ซึ่งประเทศผู้นำเข้าต้องมีมาตรการในการตรวจสอบด้วย
สำหรับมาตรการเกี่ยวกับพืชจีเอ็มโอของไทยโดยสรุปก็คือ ไม่อนุญาตให้มีการนำเข้าเมล็ดพันธุ์หรือพันธุ์พืชจีเอ็มโอ เพื่อเพาะปลูกในเชิงพาณิชย์ ยกเว้นเพื่อการศึกษาวิจัยเท่านั้น และการศึกษาวิจัยก็ให้ดำเนินการเฉพาะในโรงเรือนหรือแปลงทดลองเท่านั้นมิให้ดำเนินการในไร่นาของเกษตรกร
 




ที่มา  http://www.baanjomyut.com

เทคโนโลยีชีวภาพ มีความสำคัญอย่างไร

      เทคโนโลยีชีวภาพได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ทั้งทางด้านเกษตรกรรม อาหาร การแพทย์ และเภสัชกรรม โดยมีวัตถุประสงค์ต่าง ๆ อาทิ เพื่อลดปริมาณการใช้สารเคมี เพื่อเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เพื่อคิดค้นอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูงขึ้น เพื่อค้นคิดตัวยาป้องกันและรักษาโรค ซึ่งล้วนเป็นการนำเทคโนโลยีชีวภาพมารับใช้ประชากรโลก ในการสร้างสรรค์พัฒนาให้มวลมนุษย์สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
ปัจจุบัน มีการนำวิทยาการด้านเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง ที่เด่นชัดที่สุดคือ ในทางการแพทย์และการเกษตร ทั้งนี้เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพได้ก่อให้เกิดความหวังใหม่ ๆ ในการคิดค้นหนทางแก้ปัญหาสำคัญที่โลกกำลังเผชิญอยู่ทั้งทางด้านเกษตรกรรม อาหาร การแพทย์ และเภสัชกรรมอันได้แก่
  • ความพยายามจะลดประมาณการใช้สารเคมีในเกษตรกรรม ด้วยการคิดค้นพันธุ์พืชใหม่ที่ต้านทานโรคศัตรูพืช อันจะช่วยลดปัญหาการใช้สารเคมีซึ่งเป็นหนึ่งในต้นเหตุของปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
  • ความพยายามจะเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกของโลก ด้วยการปรับปรุงพันธุ์พืชใหม่ ที่ทนทานต่อภาวะแห้งแล้ง หรืออุณหภูมิที่สูงหรือต่ำเกินไป
  • ความพยายามจะเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรของโลก ด้วยการคิดค้นปรับปรุงพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ที่ทนทานต่อโรคภัยและให้ผลิตสูงขึ้น
  • ความพยายามจะค้นคิดอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูงขึ้นหรือมีคุณสมบัติที่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากขึ้น เช่นอาหารไขมันต่ำ อาหารที่คงความสดได้นานกว่า อาหารที่มีอายุการบริโภคนานขึ้นโดยไม่ต้องใส่สารเคมี เป็นต้น
  • ความพยายามจะค้นคิดตัวยาป้องกันและรักษาโรคติดต่อหรือโรคร้ายแรงต่าง ๆ ที่ยังไม่มีวิธีรักษาที่ได้ผล เช่น การคิดตัวยาหยุดยั้งการลุกลามของเนื้อเยื่อมะเร็งแทนการใช้สารเคมีทำลาย การคิดค้นวัคซีนป้องกันไวรัสตับต่าง ๆ   ในเชิงพาณิชย์ บริษัทใหญ่ ๆ ของโลกได้คิดค้นผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพด้านเภสัชภัณฑ์และเกษตรที่มีคุณสมบัติอันเป็นที่ต้องการของแต่ละสาขาออกจำหน่าย เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ของโลกมากมาย
ผลงานวิจัยค้นคว้าทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่ได้รับการยอมรับว่ามีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ มีอาทิ
  • เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อการเกษตร คือ การพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์พืช โดยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและเซลล์พืช การตัดแต่งยีน ตัวอย่างเช่นการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อขยายพันธุ์กล้วยไม้ ไผ่ การพัฒนาพันธุ์พืชต้านทานต่อศัตรูพืช โรคพืช การพัฒนาผลไม้ให้สุกงอมช้า
  • เทคโนโลยีชีวภาพเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร คือการเพิ่มคุณค่าผลผลิตของอาหาร ตัวอย่างเช่น การลดปริมาณโคเลสเตอรอลในไข่แดง การทำให้โคและสุกรเพิ่มปริมาณเนื้อ
  • เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อสิ่งแวดล้อม คือ การลดการใช้สารเคมีที่เป็นผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่าง เช่น การผลิตปุ๋ยชีวภาพจากสารอินทรีย์ การใช้จุลินทรีย์ในการกำจัดขยะหรือน้ำเน่าเสีย
  • เทคโนโลยีการแพทย์เพื่อสุขภาพ ตัวอย่างเช่น การผลิตวัคซีนป้องกันโรค การผลิต แอนติบอดีเพื่อตรวจวินิจฉัยโรคและการเยียวยารักษา การใช้เทคโนโลยีดีเอ็นเอตรวจสอบโรคทางพันธุกรรม  


ที่มา  http://www.baanjomyut.com

เทคโนโลยีชีวภาพ (Bio Technology)

   

เทคโนโลยีชีวภาพ (Bio Technology) คืออะไร
เทคโนโลยีชีวภาพเป็นเทคนิคการนำสิ่งมีชีวิต หรือชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิตมาพัฒนาหรือปรับปรุงพืชสัตว์ หรือผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อประโยชน์เฉพาะตามที่ต้องการ แม้จะฟังดูเป็นศัพท์วิชาการแต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด มนุษย์เราได้นำประโยชน์จากกระบวนการทางเทคโนโลยีชีวภาพเข้ามาใช้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเราเป็นเวลานานนับพัน ๆ ปีมาแล้วในรูปแบบง่าย ๆ ได้แก่ การหมักดองอาหาร เช่น เต้าเจี้ยว แหนม ปลาร้า เป็นต้น การทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น สุรา ไวน์ เบียร์ เป็นต้น  
ปัจจุบันเทคโนโลยีชีวภาพ หมายถึง เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีวิทยาศาสตร์เป็นรากฐาน ประกอบด้วยหลายสาขาวิชาผสมผสานกัน ได้แก่ สาขาชีววิทยา จุลชีววิทยา เคมี อณูพันธุศาสตร์ที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ เช่น จุลินทรีย์ พืช และสัตว์มาใช้ประโยชน์ เป็นสหวิทยาการที่นำความรู้พื้นฐานสิ่งมีชีวิตไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ตั้งแต่เรื่องการขยายและปรับปรุงพันธุ์สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย การนำผลผลิตจากสิ่งมีชีวิตไปแปรรูปเป็นอาหารหรือยา รวมถึงกระบวนการที่ใช้แปรรูปผลผลิตในระดับโรงงานและกระบวนการที่ใช้สิ่งมีชีวิต เช่น จุลชีพในการบำบัดน้ำเสีย หรือ การนำของเสียไปใช้ประโยชน์ เช่น นำไปใช้ทำปุ๋ย เป็นต้น


ที่มา  http://www.baanjomyut.com

ผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

            ทคโนโลยีสารสนเทศ มีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับมนุษย์เป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ย่อมเกิดผลกระทบจากเทคโนโลยีดังกล่าวทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ซึ่งประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านการอำนวยความสะดวกให้กับชีวิตของมนุษย์นั้นมีมากมาย ทั้งในเรื่องของการติดต่อสื่อสารระหว่างกันและเรื่องอื่นๆ แต่ประเด็นที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญก็คือเรื่องของจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว เนื่องจากในโลกของการติดต่อสื่อสารที่ไร้พรมแดนอาจทำให้ข้อมูลสารสนเทศที่ได้รับมีเนื้อหาทั้งเหมาะสมและไม่เหมาะสม บ่อยครั้งที่การส่งผ่านข้อมูลระหว่างกันเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล ซึ่งอาจทำให้บุคคลที่สามเกิดความเสียหายได้ หรือแม้กระทั่งเนื้อหาของสารสนเทศที่ปรากฏอยู่ในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนั้นเป็นเรื่องยากที่จะควบคุม มิให้มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งในปัจจุบันกลไกของรัฐกำลังพยายามเข้าไปจัดการกับปัญหาดังกล่าวแต่ก็มีข้อจำกัดในหลายๆ ประการที่ไม่สามารถเข้าไปจัดการได้ทั้งหมด ทางออกของการแก้ไขปัญหาดูเสมือนหนึ่งว่าจะต้องหันกลับมาให้ความสำคัญกับประเด็นทางจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการสร้างสรรค์มากกว่าเพื่อการทำลาย ดังนั้นการปลูกฝังจิตสำนึกในเรื่องทางจริยธรรมคงจะเป็นสิ่งที่จะช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าวได้ในระยะยาว
ประเด็นสำคัญทางด้านจริยธรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศที่พบบ่อยครั้ง ดังเช่นตัวอย่างนี้
  • การแพร่ระบาดของเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมมีจำนวนมากขึ้น อาทิ เว็บไซต์ลามกอนาจาร เว็บไซต์บริการทางเพศ เว็บไซต์เกี่ยวกับการพนัน เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับยาเสพติดเว็บไซต์ที่ขายของผิดกฎหมายหรือละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งกระบวนการตรวจสอบอย่างทั่วถึงเป็นไปได้ยาก
  • เว็บแคม (webcam) หรือ เว็บแคเมรา (web camera) เป็นกล้องที่ส่งสัญญาณภาพผ่านทางคอมพิวเตอร์สำหรับใช้งานผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดยที่แต่ละฝ่ายสามารถเห็นภาพกันและกันขณะพูดคุย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการประชุมออนไลน์ แต่ขณะเดียวกัน เว็บแคมก็เป็นสื่อที่ใช้ในการชมและถ่ายทอดกิจกรรมทางเพศ หรือแสดงลามกทางอินเทอร์เน็ตที่เป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่น
  • อาชญากรคอมพิวเตอร์ เช่น แฮกเกอร์ (Hacker) บางคนที่พยายามหาวิธีการหรือช่องโหว่ของระบบ เพื่อแอบลักลอบเข้าสู่ระบบ เพื่อล้วงความลับหรือแอบดูข้อมูลข่าวสาร อาทิ ลักลอบใช้ข้อมูลบัตรเครดิต ลบรายชื่อผู้ใช้งานในระบบ และบางครั้งมีการทำลายข้อมูลข่าวสารหรือทำความเสียหายให้กับองค์กร
  • การแพร่ระบาดของไวรัสคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเข้าไปสร้างความเสียหายต่อระบบคอมพิวเตอร์ อาทิ รบกวนการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้การรับส่งข้อมูลระหว่างเครือข่ายทำงานช้าลง ติดตั้งโปรแกรมที่เปิดทางให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์
โดยสรุปแล้วเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของโลกในยุคปัจจุบันที่สามารถเชื่อมโยงโลกทั้งโลกเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้โลกที่เคยกว้างใหญ่กลับแคบลง ระยะทางซึ่งแต่เดิมคืออุปสรรคสำคัญในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันของมนุษย์ชาติกลับไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไปทำให้มนุษย์ในแต่ละสังคมต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้มากยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับความเสื่อมถอยของสังคมในยุคปัจจุบัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์ผู้ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวจะใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใด หากรู้จักใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสร้างสรรค์และรู้เท่าทัน ย่อมส่งผลให้มนุษย์ในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น



ที่มา  http://www.baanjomyut.com

กรณีศึกษาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน



เอาท์ซอร์ส Outsource (การแบ่งงานบางส่วนออกไปทำที่อื่น)
โทมัส ฟรีดแมน นักหนังสือพิมพ์ชาวอเมริกัน ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “ใครว่าโลกกลม (The World is Flat)” ได้กล่าวถึงการแบนราบลงของสนามแข่งขันทุกแห่งบนโลก สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประเทศกำลังพัฒนา บริษัทขนาดเล็ก หรือกลุ่มบุคคล/องค์กรบางกลุ่มสามารถเข้าร่วมแข่งขันในสมรภูมิทางเศรษฐกิจได้นั้น เป็นผลมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศที่ก้าวหน้าขึ้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้
  • การจ้างงานบางอย่างถูกแบ่งงานไปยังที่อื่นมีความต่างทางด้านเวลา เช่น อเมริกากับอินเดียซึ่งอยู่คนละซีกโลก เวลาต่างกัน 12 ชั่วโมง ที่อเมริกาเป็นกลางคืนแต่อินเดียยังเป็นกลางวัน ทำให้งานบางอย่างสามารถส่งจากอเมริกาในตอนกลางคืนผ่านระบบอินเตอร์เน็ตไปให้ชาวอินเดียช่วยจัดการให้ อาทิ โรงพยาบาลบางแห่งส่งไฟล์ภาพสแกน CAT หรือ MRI ของคนไข้ผ่านอินเตอร์เน็ตไปให้หมอชาวอินเดียช่วยวินิจฉัย บริษัทบางแห่งอัดไฟล์เสียงบันทึกการประชุมส่งไปยังอินเดียให้ช่วยถอดบันทึกการประชุมและสรุปรายงานเพื่อส่งกลับมาในตอนเช้า
  • ประสิทธิภาพของการส่งข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตที่สามารถส่งข้อมูลแบบมัลติมีเดียทั้งข้อความ ภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วผ่านเคเบิ้ลใยแก้วนำแสง ทำให้การแบ่งงานไปยังที่อื่นมีความสะดวกมากขึ้น อาทิ ในปี 2005 มีแบบฟอร์มเสียภาษีของอเมริกาจำนวนกว่า 400,000 รายการถูกสแกนส่งไปยังอินเดียให้นักบัญชีชาวอินเดียเป็นผู้จัดทำและมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นทุกปี ธุรกิจ E-tutoring ผ่านอินเตอร์เน็ต โดยในตอนเย็นเด็กนักเรียนชาวอเมริกันจะใช้อินเตอร์เน็ตในการติวเนื้อหาในการเรียน การทำการบ้าน รายงานโดยครูผู้สอนนั้นเป็นชาวอินเดีย หรือธุรกิจการตอบรับโทรศัพท์ เช่น การแจ้งเตือนชำระเงิน การจองตั๋วเครื่องบิน ร้านอาหารหรือโรงแรม การชักชวนทำบัตรเครดิต เป็นต้น ธุรกิจเหล่านี้มีบริษัทอยู่ที่อินเดียทั้งสิ้น ซึ่งชาวอเมริกันจำนวนมากอาจจะยังไม่ทราบว่าเมื่อใช้โทรศัพท์ติดต่องานดังกล่าวนั้น เป็นการโทรผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตซึ่งเสียค่าใช้จ่ายน้อยมาก โดยโอเปอเรเตอร์ที่รับสายอยู่ที่ประเทศอินเดีย
  • การแบ่งงานไปยังประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่า เช่น ที่เมืองบังกาลอร์ ประเทศอินเดีย ที่รับแบ่งงานด้านซอฟต์แวร์จากอเมริกา โดยบริษัทซอฟต์แวร์หลายแห่งในเมืองซิลิกอนแวลเลย์ที่อเมริกา ได้จ้างวิศวกรคอมพิวเตอร์จากอินเดียในการพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือที่เมืองต้าเหลียน ประเทศจีนซึ่งมีชาวจีนจำนวนมากที่สามารถสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ และรับแบ่งงานหลายอย่างจากญี่ปุ่นผ่านทางอินเตอร์เน็ต เช่น ออกแบบซอฟต์แวร์ ออกแบบอาคารด้วยคอมพิวเตอร์ งานด้านกฎหมาย เป็นต้น โดยที่คิดค่าแรงถูกกว่าที่ญี่ปุ่นมาก
สังคมออนไลน์
  • ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นโดยชุมชนออนไลน์ อาทิ Linux, Apache, FireFox ล้วนแล้วแต่เป็นซอฟต์แวร์ที่นักคอมพิวเตอร์อิสระทั่วโลกช่วยกันพัฒนาขึ้นมาโดยคาดหวังว่าจะเป็นซอฟต์แวร์รหัสเปิด (Open source) ที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการปรับปรุงโปรแกรม ดาวน์โหลดไปใช้ได้ฟรีและมีประสิทธิภาพ ผลที่เกิดขึ้นคือซอฟต์แวร์รหัสเปิดเหล่านี้ได้รับการตอบสนองจากบรรดาผู้ใช้งานจำนวนมากทั่วโลก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องไปซื้อหาซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ซึ่งอาจมีราคาสูงมาใช้ นอกจากนี้ธุรกิจบางประเภทก็เคยใช้ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นโดยชุมชนออนไลน์มาพัฒนาธุรกิจของตนเองได้ ดังเช่นในปี ค.ศ.2000 ธุรกิจเหมืองทองคำของแคนาดา ชื่อว่า โกล์คอร์ปอิงค์ ได้ออกประกาศชวนนักธรณีวิทยาทั่วโลกร่วมแข่งขันออกแบบซอฟต์แวร์เพื่อค้นหาแหล่งแร่ทองคำที่เหมืองเรดเลกในแคนาดา โดยมีรางวัลรวมมูลค่ากว่า 575,000 ดอลล่าห์สหรัฐ โดยบริษัทได้มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเหมืองทั้งหมดผ่านทางเว็บไซต์ ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ นักธรณีวิทยากว่า 1,400 คน จาก 50 ประเทศเข้ามาดาวน์โหลดข้อมูลและแข่งขันกันสร้างซอฟต์แวร์ในการวิเคราะห์ข้อมูลแหล่งแร่และจำลองภาพเสมือนจริง ผลที่ได้รับคือบริษัทมีผลผลิตทองคำเพิ่มขึ้นเกือบสิบเท่า และถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ของวงการเหมืองแร่
  • การอัพโหลด (Upload) ที่ทำให้คุณทุกคนกลายเป็นบุคคลสำคัญ ซึ่งโทมัส ฟรีดแมน เคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า สมัยก่อนสังคมออนไลน์ส่วนมากคือการดาวน์โหลดหรือบริโภคข้อมูลข่าวสารเพียงอย่างเดียว แต่ในปัจจุบันผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนเป็นผู้ผลิตข้อมูลข่าวสารและอัพโหลดสู่ระบบเครือข่ายเพิ่มมากขึ้น ดังจะเห็นได้จาก นิตยสาร TIME ซึ่งเป็นนิตยสารที่มีการมอบตำแหน่ง “Person of the Year” หรือ ”บุคคลแห่งปี” ให้กับบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่ก่อให้เกิดผลกระทบในเชิงข่าวและวิถีชีวิตของคนหมู่มากสูงที่สุด แต่นิตยสาร TIME ได้มอบตำแหน่งนี้ประจำปี 2006 ให้กับ “คุณ (YOU)” ความหมายคือคุณทุกคนที่เข้าสู่สังคมออนไลน์ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมออนไลน์ขึ้นมา ผ่านทางสื่อออนไลน์ต่างๆ ดังตัวอย่างนี้
    - เว็บบล็อก (Web Blog) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า บล็อก ซึ่งเปรียบเสมือนหนังสือพิมพ์หรือวารสารส่วนตัวที่ผลิตด้วยตัวคุณเอง โดยคุณสามารถอัพโหลดคอลัมน์หรือจดหมายข่าวเข้าไปในเว็บไซต์ เพื่อให้คนทั่วโลกได้เยี่ยมชมและแสดงความคิดเห็น โดยการทำข่าว อาจใช้เพียงเครื่องเล่น MP3 ในการบันทึกเสียงหรือใช้กล้องดิจิตอลที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือในการบันทึกภาพก็สามารถทำข่าวสารเผยแพร่เองได้โดยไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านการทำข่าว อาทิ บล็อกสถานการณ์อิรักที่จัดทำโดยทหารอเมริกันในสมรภูมิ บล็อกที่ติดตามผลงานและงานวิจารณ์ดนตรีของเด็กมัธยม บล็อกของเพื่อนหรือคนใกล้ชิด เป็นต้น ปัจจุบันมีการประมาณการกันว่ามีบล็อกอยู่ 24 ล้านบล็อกและกำลังเพิ่มขึ้นวันละกว่า 70,000 บล็อก และจะเพิ่มเป็นสองเท่าทุกๆ ห้าเดือน
    - คลิปวีดิโอออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ Metacafe.com หรือ YouTube.com ที่เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปได้นำคลิปวีดีโอสั้นๆ อัพโหลดเข้ามาเก็บไว้ในเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่ให้คนทั่วโลกได้ชม ปัจจุบันพบว่ามีเว็บ YouTube มีอัตราการเจริญโตอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ กว่า 100 ล้านครั้งต่อวัน ในแต่ละเดือนมีผู้อัพโหลดวิดีโอขึ้นเว็บกว่า 65,000 เรื่อง สมาชิกเพิ่มขึ้นเดือนละ 20 ล้านคน ซึ่งคลิปวีดิโอที่อัพโหลดเข้ามานั้นมีมากมายหลายประเภท อาทิ การแสดงโชว์ผาดโผน การเล่นดนตรีในแนวใหม่ ภาพเหตุการณ์จริงจากอุบัติเหตุหรือภัยธรรมชาติ วิดีโองานเทศกาศต่างๆ รวมไปถึงตัวอย่างภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถแสดงความคิดเห็นและร่วมโหวตให้คะแนนคลิปยอดนิยม ทำให้คนบางคนที่อยู่ในคลิปวีดิโอกลายเป็นดาราดังภายในชั่วข้ามคืนก็มี
    - สารานุกรมเสรีออนไลน์ เช่น วิกิพีเดีย (Wikipedia.org) เป็นสารานุกรมที่ร่วมกันสร้างขึ้นโดยผู้อ่าน มีคนหลายๆ คนร่วมกันปรับปรุงวิกิพีเดียอย่างสม่ำเสมอ โดยบทความจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้นทุกๆ การแก้ไข ผู้ที่เข้ามาอ่านสามารถเพิ่มเติมเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ลงไปได้หรือแก้ไขบทความที่มีเนื้อหาผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนได้ ทำให้วิกิพีเดียเป็นสารานุกรมที่ถือได้ว่าสร้างปรับปรุงแก้ไขและตรวจสอบโดยสังคมออนไลน์ และได้รับการยอมรับจากนักวิชาการและสื่อมวลชน เนื่องจากเนื้อหาเปิดเสรีให้สามารถนำไปใช้ได้ รวมถึงเปิดเสรีที่ให้ทุกคนแก้ไข ปัจจุบัน วิกิพีเดียมีทั้งหมด 250 ภาษา รวมทุกภาษามีบทความมากกว่า 6,000,000 บทความ และปัจจุบัน (พ.ค.2550)วิกิพีเดียไทยมีบทความกว่า 22,000 บทความ
  • การแบ่งทรัพยากรใช้ร่วมกัน เช่น โครงการ SETI@home หรือ Search for Extra-Terrestrial Intelligence at home เป็นโครงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ในการค้นหาสัญญาณจากต่างดาว ดำเนินการโดยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ เริ่มเผยแพร่สู่สาธารณะเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 โดยในระยะแรกเป็นโปรแกรมสกรีนเซฟเวอร์ จะทำงานเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่มีการใช้งานอื่น ปัจจุบัน SETI@home ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใช้ทั่วไป มีจำนวนผู้ร่วมโครงการถึง 5.2 ล้านคน ได้รับการบันทึกใน กินเนสบุ๊ค (Guinness Book of World Records) ว่าเป็นโครงการ distributed computing ที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน ด้วยจำนวนผู้ใช้ที่ยังทำการอยู่ในปัจจุบัน ประมาณ 3 แสนเครื่อง (5 ธ.ค. 49) โครงการนี้สามารถประมวลผลได้ 257 TeraFLOPS เปรียบเทียบกับ Blue Gene ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดในโลกของ ไอบีเอ็ม สามารถคำนวณได้ 280 TFLOPS
ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence, AI)
  • เครื่องจักรที่สามารถทำงานได้เหมือนคน เช่น หุ่นยนต์ (Robot) ซึ่งเป็นเครื่องจักรกลชนิดหนึ่ง มีลักษณะโครงสร้างและรูปร่างแตกต่างกัน หุ่นยนต์ในแต่ละประเภทจะมีหน้าที่การทำงานในด้านต่าง ๆ ตามการควบคุมโดยตรงของมนุษย์ โดยทั่วไปหุ่นยนต์ถูกสร้างขึ้นเพื่อสำหรับงานที่มีความยากลำบากเช่น งานสำรวจในพื้นที่บริเวณที่เสี่ยงอันตรายหรืองานสำรวจดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ที่ไม่มีสิ่งมีชีวิต ปัจจุบันเทคโนโลยีของหุ่นยนต์เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เริ่มเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านอุตสาหกรรมการผลิต หุ่นยนต์ที่ใช้ในทางการแพทย์ หุ่นยนต์สำหรับงานสำรวจใต้ทะเล หุ่นยนต์ที่ใช้งานในอวกาศ หรือแม้แต่หุ่นยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องเล่นของมนุษย์ จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ได้มีการพัฒนาให้หุ่นยนต์นั้นมีลักษณะที่คล้ายมนุษย์ เพื่อให้อาศัยอยู่ร่วมกันกับมนุษย์ ให้ได้ในชีวิตประจำวัน
  • การทำงานต่างๆ เลียนแบบพฤติกรรมของคน เช่น การมองเห็น การได้ยิน การคิด การใช้เหตุผลและตัดสินใจ เป็นต้น ตัวอย่าง AI ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอันหนึ่ง ได้แก่ ดีพ บลู ทู (Deep Blue II) ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของบริษัท IBM ที่สามารถเอาชนะนายแกรี่ คาสปารอฟ แชมป์โลกหมากรุกเมื่อปี ค.ศ.1997 โดยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของ IBM เครื่องนี้ สามารถประเมินแนวทางที่เป็นไปได้นับพันวิธี ซึ่งสิ่งประดิษฐ์นี้แสดงให้เห็นว่าในอนาคตอันใกล้ระบบคอมพิวเตอร์จะมีความเฉลียวฉลาดและสามารถตอบสนองได้เหมือนกับมนุษย์มากขึ้น
เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ
  • ระบบระบุพิกัดบนพื้นโลก (Global Positioning System, GPS) คือเครื่องมือที่ทำงานโดยการรับสัญญาณจากดาวเทียมอย่างน้อย 4 เพื่อระบุพิกัดตำแหน่งบนพื้นโลก ปัจจุบันนี้ได้มีการใช้งาน GPS ในรูปแบบของการกำหนดพิกัดของสถานที่ต่าง ๆ การสำรวจ การนำทาง การทำแผนที่ การเดินป่า การเดินเรือ รวมถึงการค้นหาสถานที่สำคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะในเรื่องการขนส่งมีการนำ GPS ไปใช้เป็นระบบติดตามรถยนต์ เพื่อควบคุมดูแลตลอดจนบันทึกเส้นทาง ลักษณะการขับรถ และการควบคุมเครื่องมืออุปกรณ์ในรถ เช่น อุณหภูมิ    ตู้แช่สินค้า ทำให้สามารถบริหารจัดการการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เทคโนโลยีดาวเทียมสำรวจระยะไกล (Remote Sensing) โดยเฉพาะดาวเทียมรายละเอียดสูงซึ่งสามารถมองเห็นรายละเอียดของพื้นโลกได้ชัดเจน ปัจจุบันข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมเหล่านี้สามารถสืบค้นได้ฟรีผ่านทางอินเตอร์เน็ต เช่น โปรแกรม Google Earth เป็นโปรแกรมที่สามารถเรียกใช้ผ่านทาง Internet เป็นโปรแกรมที่ทำให้มองเห็นภาพถ่ายจากดาวเทียมแสดงถึงภูมิประเทศตลอดจนรายละเอียดของเมืองหรือพื้นที่ต่างๆ หลายที่ทั่วโลกได้อย่างชัดเจน สามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างมากมายทั้งในด้านท่องเที่ยว การเรียนการสอนภูมิศาสตร์ การวางแผนการใช้ที่ดินของทั้งภาครัฐและเอกชน พร้อมทั้งการประยุกต์ทางธุรกิจต่างๆ
  • ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System, GIS) คือ การนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในการรวบรวม จัดเก็บ จัดการและวิเคราะห์ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในงานด้านวิเคราะห์ข้อมูลได้หลากหลาย เช่น การเปลี่ยนแปลงของการใช้พื้นที่ การแพร่ขยายของโรคระบาด การเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน การบุกรุกทำลายป่าไม้ เป็นต้น สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในสาขาต่าง ๆ เช่น การเกษตร ป่าไม้ ธรณีวิทยา อุทกศาสตร์ สิ่งแวดล้อม การวิเคราะห์ภัยพิบัติ การวางผังเมือง เป็นต้น

ที่มา  http://www.baanjomyut.com

บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคโลกาภิวัตน์

       จอห์น ไนซ์บิตต์ ผู้พยากรณ์สังคมได้เขียนหนังสือเรื่อง Megatrends 2000 โดยกล่าวถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงใหม่ทางสังคมโลกว่า เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้การกระจายข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีลักษณะการกระจายแบบทุกทิศทาง และมีระบบตอบสนองอย่างรวดเร็ว และยังสื่อสารแบบสองทิศทาง ด้วยเหตุนี้ผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมจึงแตกต่างจากในอดีตมาก ดังจะเห็นได้จากวิกฤตการณ์ทางด้านเศรษฐกิจจากประเทศหนึ่งมีผลกระทบต่อประเทศอื่น ๆ อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ผลของความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายด้าน แนวโน้มที่สำคัญที่เกิดจากเทคโนโลยีที่สำคัญและเป็นที่กล่าวถึงกันมาก มีหลายประการ
  • เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้สังคมเปลี่ยนมาเป็นสังคมสารสนเทศ ซึ่งในอดีตสังคมโลกได้เปลี่ยนแปลงมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกจากสังคมความเป็นอยู่แบบเร่ร่อนมาเป็นสังคมเกษตรที่รู้จักกับการเพาะปลูกและสร้างผลิตผลทางการเกษตร ทำให้มีการสร้างบ้านเรือนเป็นหลักแหล่ง ต่อมามีความจำเป็นต้องผลิตสินค้าให้ได้ปริมาณมากและต้นทุนถูก จึงต้องหันมาผลิตแบบอุตสาหกรรม ทำให้สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์เปลี่ยนแปลงมาเป็นสังคมเมือง มีการรวมกลุ่มอยู่อาศัยเป็นเมือง มีอุตสาหกรรมเป็นฐานการผลิต จนมาถึงปัจจุบันซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมสารสนเทศ โดยคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารมีบทบาทมากขึ้น มีการใช้เครือข่าย เช่น อินเทอร์เน็ตเชื่อมโยงการทำงานต่าง ๆ เกิดคำใหม่ว่า “ไซเบอร์สเปซ (Cyberspace)” มีการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ใน ไซเบอร์สเปซ เช่น การพูดคุย การซื้อสินค้าและบริการ การทำงานผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดสภาพเสมือนจริงมากมาย อาทิ ห้องสมุดเสมือนจริง ห้องเรียนเสมือนจริง ที่ทำงานเสมือนจริง
  • เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีแบบสุนทรียสัมผัสและตอบสนองตามความต้องการ ซึ่งแต่เดิมการใช้เทคโนโลยีเป็นแบบบังคับ เช่น การดูโทรทัศน์ วิทยุ เมื่อเปิดเครื่องรับโทรทัศน์ จะไม่สามารถเลือกตามความต้องการได้ ถ้าสถานีส่งสัญญาณใดมาก็จะต้องชม หากไม่พอใจก็ทำได้เพียงเลือกสถานีใหม่ แนวโน้มจากนี้ไปจะมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่เรียกว่า on demand เช่น เมื่อต้องการชมภาพยนตร์เรื่องใดก็สามารถเลือกชมและดูได้ตั้งแต่ต้นรายการ หากจะศึกษาหรือเรียนรู้ก็มี education on demand คือสามารถเลือกเรียนตามต้องการได้ การตอบสนองตามความต้องการเป็นหนทางที่เป็นไปได้เพราะเทคโนโลยีมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าจนสามารถนำระบบสื่อสารมาตอบสนองตามความต้องการของมนุษย์ได้
  • เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดสภาพทางการทำงานแบบทุกสถานที่และทุกเวลา โดยการโต้ตอบผ่านระบบเครือข่าย อาทิ วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ ระบบประชุมบนเครือข่าย ระบบ Tele-education ระบบการค้าบนเครือข่าย (E-commerce) ลักษณะของการดำเนินกิจกรรมเหล่านี้ทำให้ขยายขอบเขตการทำงานไปทุกหนทุกแห่งและดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง เห็นได้จากตัวอย่างที่มีมานานแล้ว เช่น ระบบเอทีเอ็ม ทำให้การเบิกจ่ายได้เกือบตลอดเวลา และกระจายไปใกล้ตัวผู้รับบริการมากขึ้น แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ายิ่งขึ้น การบริการจะกระจายมากยิ่งขึ้นจนถึงที่บ้าน ในอนาคตสังคมการทำงานจะกระจายจนงานบางงานอาจนั่งทำที่บ้านหรือที่ใดก็ได้ และเวลาใดก็ได้
  • เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบแห่งชาติไปเป็นเศรษฐกิจโลก ความเกี่ยวโยงของเครือข่ายสารสนเทศทำให้เกิดสังคมโลกาภิวัตน์ ระบบเศรษฐกิจซึ่งแต่เดิมมีขอบเขตจำกัดภายในประเทศ ก็กระจายเป็นเศรษฐกิจโลก ทั่วโลกจะมีกระแสการหมุนเวียนแลกเปลี่ยนสินค้าบริการอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว เทคโนโลยีสารสนเทศมีส่วนเอื้ออำนวยให้การดำเนินการมีขอบเขตกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ระบบเศรษฐกิจของโลกจึงผูกพันกับทุกประเทศ และเชื่อมโยงกันแนบแน่นขึ้น
  • เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้องค์กรมีลักษณะผูกพัน หน่วยงานภายในเป็นแบบเครือข่ายมากขึ้น แต่เดิมการจัดองค์กรมีการวางเป็นลำดับขั้น มีสายการบังคับบัญชาจากบนลงล่าง แต่เมื่อการสื่อสารแบบสองทางและการกระจายข่าวสารดีขึ้น มีการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในองค์กรผูกพันกันเป็นกลุ่มงาน มีการเพิ่มคุณค่าขององค์กรด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ การจัดโครงสร้างขององค์กรจึงปรับเปลี่ยนจากเดิม และมีแนวโน้มที่จะสร้างองค์กรเป็นเครือข่ายที่มีลักษณะการบังคับบัญชาแบบแนวราบมากขึ้น หน่วยธุรกิจจะมีขนาดเล็กลง และเชื่อมโยงกันกับหน่วยธุรกิจอื่นเป็นเครือข่าย สถานะภาพขององค์กรจึงต้องแปรเปลี่ยนไปตามกระแสของเทคโนโลยี เพราะการดำเนินธุรกิจต้องใช้ระบบสื่อสารที่มีความรวดเร็ว ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็ว
  • เทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดการวางแผนการดำเนินการระยะยาวขึ้น อีกทั้งยังทำให้การตัดสินใจหรือเลือกทางเลือกได้ละเอียดขึ้น แต่เดิมการตัดสินปัญหาอาจมีหนทางให้เลือกได้น้อย เช่น มีคำตอบเดียว ใช่และไม่ใช่ แต่ด้วยข้อมูลข่าวสารที่สนับสนุนการตัดสินใจ ทำให้วิถีความคิดในการตัดสินปัญหาเปลี่ยนไป ผู้ตัดสินใจมีทางเลือกได้มากขึ้น มีความละเอียดอ่อนในการตัดสินปัญหาได้ดีขึ้น
  • เทคโนโลยีสารสนเทศ ในปัจจุบันทำให้การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารทั่วโลกทำได้สะดวกมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการรับชมข่าวสาร รายการโทรทัศน์ที่ส่งกระจายผ่านดาวเทียมของประเทศต่าง ๆ ได้ทั่วโลก สามารถรับรู้ข่าวสารได้ทันทีที่ใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการสื่อสารระหว่างกันและติดต่อกับคนได้ทั่วโลก จึงเป็นที่แน่ชัดว่าแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองจึงมีลักษณะเป็นสังคมโลกมากขึ้น


ที่มา  http://www.baanjomyut.com



ที่มาของเทคโนโลยีสารสนเทศ


            มนุษย์มีความพยายามที่จะพัฒนาระบบการติดต่อสื่อสารข้อมูลข่าวสารมาตั้งแต่เริ่มกำเนิดของมนุษยชาติไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาภาษาพูด หรือการติดต่อโดยการใช้รหัสอื่นๆ เช่น มือ หรือท่าทางต่างๆ  คาดคะเนว่าเมื่อห้าแสนปีที่แล้วมนุษย์สามารถส่งสัญญาณท่าทางสื่อสารระหว่างกันและพัฒนามาเป็นภาษา มนุษย์สามารถสร้างตัวหนังสือ และจารึกไว้ตามผนังถ้ำ จนกระทั่งการพัฒนาภาษาเขียนที่เป็นสัญลักษณ์และตัวอักษร นอกจากการพัฒนาการสื่อสารดังกล่าวแล้ว มนุษย์ก็ยังไม่หยุดยั้งในการพัฒนาระบบการติดต่อสื่อสารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาระบบการติดต่อสื่อสารทางไกล ซึ่งเกิดขึ้นจากการขยายเผ่าพันธุ์ที่มีจำนวนมากขึ้น การโยกย้ายเพื่อตั้งถิ่นฐานใหม่ทำให้เกิดความจำเป็นในการติดต่อสื่อสารทางไกล ด้วยความสามารถในการบันทึกข้อความหรือข่าวสารลงในกระดาษหรืออุปกรณ์อื่นๆ ทำให้มนุษย์พัฒนาระบบไปรษณีย์ขึ้นเพื่อใช้เป็นบริการในการติดต่อสื่อสารข่าวสารข้อมูลทางไกล และเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการรับส่งข่าวสารให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ต่อมามนุษย์ได้พยายามพัฒนาทั้งวิธีการจัดส่งและเทคโนโลยีในการจัดส่ง การเพิ่มความเร็วด้วยการปรับปรุงวิธีการจัดส่งจากรูปแบบของการเดินทางมาเป็นม้า รถ และเครื่องบินตามลำดับนั้น จนกระทั่งมีการพัฒนาเทคโนโลยีโทรคมนาคมซึ่งก่อให้เกิดบริการใหม่ๆ เช่น บริการโทรเลข โทรศัพท์ โทรทัศน์ และด้วยเทคโนโลยีโทรคมนาคมดังกล่าว มนุษย์สามารถติดต่อแลกเปลี่ยนข่าวสารถึงกันได้ทั่วโลก และแม้กระทั่งจากนอกโลกได้ เช่น การติดต่อสื่อสารระหว่างยานอวกาศกับสถานีภาคพื้นดินในเวลาที่รวดเร็วมาก จนกระทั่งอาจจะกล่าวได้ว่าผู้รับข่าวสารได้รับข่าวสารในเวลาเดียวกันกับที่ผู้ส่งข่าวสารได้เริ่มส่งข่าวสาร
การพัฒนาเทคโนโลยีโทรคมนาคมที่ได้กล่าวมาเกิดขึ้นในช่วงระหว่างเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2384 ถึง พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1841 – 1970) อย่างไรก็ดี การพัฒนาเทคโนโลยีในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นไปในลักษณะของการวิวัฒนาการและค่อยเป็นค่อยไป จนกระทั่งตั้งแต่ พ.ศ. 2513 ซึ่งเป็นปีที่เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในสังคมธุรกิจและอุตสาหกรรมอย่างเต็มรูปแบบ อาจกล่าวได้ว่าเป็นปีที่มองเห็นการเคลื่อนตัวของสังคมมนุษย์จากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมไปเป็นยุคข่าวสารข้อมูลอย่างเป็นรูปธรรม การพัฒนาเทคโนโลยีโทรคมนาคมใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับบริการใหม่ๆ เช่น เครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต สื่อผสม (Multimedia) เส้นใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) เป็นต้น รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีราคาถูกและมีประสิทธิภาพดีกว่า จากการใช้ยากมาเป็นใช้ง่าย ซึ่งช่วยสนับสนุนให้เทคโนโลยีโทรคมนาคมเกิดการพัฒนาก้าวหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วย



ที่มา  http://www.baanjomyut.com