จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

สถานการณ์สงครามอิรัก (หลังการโค่นล้มซัดดัม ฮุสเซ็น)

                 เหตุและผลของการทำสงครามรุกรานอิรักของสหรัฐอเมริกา ก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะทำสงครามรุกรานประเทศอิรักเพื่อโค่นอำนาจประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซ็น นั้น ประธานาธิบดี จอร์จ บุช ได้อ้างเหตุผลหลัก 2 ประการต่อชาวอเมริกันและชาวโลกคือ
  • อิรักมีอาวุธทำลายร้ายแรง (Weapons of Mass Destruction – WMD) ไว้ในครอบครอง
  • ซัดดัม ฮุสเซ็น ผู้นำของอิรักให้การสนับสนุน กลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะ (Al-Qaeda) ของ โอซามะ บิน ลาเด็น
แต่หลังจากสหรัฐอเมริกาได้โค่นล้มประธานาธิบดีซัดดัมและได้เข้ายึดครองอิรักเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี ปรากฏว่าไม่พบหลักฐานดังกล่าวตามที่ประธานาธิบดีบุชได้กล่าวอ้างแต่อย่างใด คณะกรรมาธิการข่าวกรองของวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา (Senate Intelligence Committee) ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้ข้อสรุปและเปิดเผยต่อคนอเมริกันและชาวโลกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2547 ว่า สหรัฐอเมริกาได้รุกรานอิรักโดยอาศัยข้อมูลข่าวกรองที่ล้าสมัย ไม่ถูกต้อง และเป็นข้อมูลที่ไม่ชอบธรรมที่ ประธานาธิบดีบุชใช้อ้างในการทำสงคราม นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการชุดนี้ยังพบว่า สำนักข่าวกรองกลาง (CIA) ไม่สามารถหาหลักฐานที่น่าเชื่อมาแสดงว่า ซัดดัมกับอัลกออิดะ เป็นพันธมิตรกันไม่ว่าจะมองในแง่มุมใดก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ฮันส์ บลิกซ์ (Hans Blix) อดีตหัวหน้าผู้ตรวจสอบอาวุธในอิรักของสหประชาชาติ (UNMOVIC) ได้แสดงความเห็นโดยการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งของประเทศสเปนเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2546 ว่า ผู้นำของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้วางแผนที่จะรุกรานอิรักไว้ล่วงหน้ามาเป็นเวลานานแล้ว และผู้นำทั้งสองประเทศนี้โดยพื้นฐานแล้วไม่ได้สนใจว่าคณะตรวจสอบอาวุธของสหประชาชาติจะค้นหาอาวุธ WMD ในอิรักพบหรือไม่ (The Nation, April 10, 2003) ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกที่ผู้นำสหรัฐอเมริกาและอังกฤษไม่ปรารถนาให้คณะผู้ตรวจสอบอาวุธของสหประชาชาติได้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เพื่อพิสูจน์ว่าอิรักมีอาวุธที่มีอานุภาพทำลายร้ายแรงอันจะเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐอเมริกา ต่อภูมิภาค และต่อโลกตามข้อกล่าวหา ทั้งนี้เพราะเกรงว่าหากให้เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติในอิรักปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และไม่สามารถค้นพบอาวุธดังกล่าว ผู้นำของทั้งสองประเทศนี้จะไม่สามารถมีข้ออ้างอันชอบธรรมเพื่อทำสงคราม “รุกราน” อิรักได้
แม้ว่าในที่สุดสหรัฐอเมริกาจะประสบผลสำเร็จในการใช้กำลังโค่นล้มประธานาธิบดีซัดดัมของอิรักแล้วก็ตาม แต่ผู้นำของสหรัฐอเมริกากลับต้องเผชิญกับปัญหาสำคัญมากขึ้น โดยในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2547 ชาวอเมริกาส่วนใหญ่ (ร้อยละ 54) เริ่มมีความเห็นว่าการทำสงครามของสหรัฐอเมริกาในอิรักนั้นเป็นสิ่งที่ผิดพลาด และมากกว่าครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 51) ของชาวอเมริกากลับมีความเห็นว่าไม่รู้สึกปลอดภัยขึ้นหลังจากการโค่นซัดดัมแล้ว (Time, July 5, 2004) ทั้ง ๆ ที่ผู้นำของสหรัฐอเมริกาพยายามอ้างอยู่เป็นระยะ ๆ ว่า สหรัฐอเมริกาและโลกมีความปลอดภัยมากขึ้นเมื่อขจัดซัดดัมได้แล้ว
จนกระทั่งถึงปัจจุบันทั้ง ๆ ที่สหรัฐอเมริกาได้โอนอำนาจการบริหารประเทศให้แก่ชาวอิรักในทางทฤษฎีแล้วก็ตาม ปัญหารากเหง้าทางด้านความมั่นคงในอิรักนั้น อยู่ที่ผู้นำสหรัฐอเมริกามีความเชื่ออย่างผิด ๆ ว่า ชาวอิรักจะต้อนรับสหรัฐอเมริกาด้วยความยินดีปรีดาที่มาเข้าโค่นล้มซัดดัม แต่ความจริงชาวอิรักถึงแม้ว่ามีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบซัดดัม แต่ก็เกลียดการรุกรานของสหรัฐอเมริกา จากการสำรวจความคิดเห็นชาวอิรักโดยคณะผู้ปกครองชั่วคราวของพันธมิตร (Coalition Provisional Authority หรือ CPA) เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2547 พบว่า ร้อยละ 92 ของชาวอิรักเห็นว่ากองกำลังที่นำโดยสหรัฐอเมริกาในอิรักเป็นผู้ยึดครอง (occupiers) มีเพียงแค่ร้อยละ 2 ของชาวอิรักเท่านั้นที่เห็นว่ากองกำลังต่างชาติดังกล่าวเป็นผู้ปลดปล่อย (liberators) พวกตน (Guardian Unlimited Online, June 16, 2004)
นอกจากนี้แล้ว จากการสำรวจความเห็นของชาวอิรักโดยศูนย์วิจัยและยุทธศาสตร์ศึกษาแห่งอิรัก (Iraq Centre for Research and Strategic Studies หรือ ICRSS) เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2547 พบว่าชาวอิรัก 2 ใน 3 หรือร้อยละ 66 คัดค้านการปรากฏตัวทางทหารของชาวต่างชาติที่นำโดยสหรัฐอเมริกา มีเพียงร้อยละ 22 ของชาวอิรักเท่านั้นที่เห็นว่าอิรักกำลังก้าวเข้าสู่สันติภาพและความมีเสถียรภาพมากขึ้น (The Nation, July 14, 2004)
แต่ไม่ว่าสหรัฐอเมริกาจะรุกรานอิรักด้วยเหตุผลใดก็ตาม การทำสงครามของสหรัฐอเมริกาได้นำความสูญเสียทั้งชีวิตมนุษย์และทรัพย์สินของชาวอิรักจำนวนมหาศาล เฉพาะชาวอิรักที่เป็นพลเรือนต้องเสียชีวิตไปมากกว่า 13,000 คน ทหารอเมริกันเองก็เสียชีวิตร่วม 1,000 คน
ลักดาร์ บราฮิมี (Lakhdar Brahimi) ทูตสหประชาชาติ (U.N. envoy) ได้กล่าวไว้อย่างกระชับว่า การรุกรานอิรักที่นำโดยสหรัฐอเมริกานั้น “เป็นการทำสงครามที่ไร้ประโยชน์ เป็นการสร้างปัญหามากกว่าแก้ไขปัญหา และได้นำการก่อการร้ายมาสู่อิรัก” และนายบราฮิมียังกล่าวอีกด้วยว่า รัฐบาลชั่วคราวของอิรักเผชิญกับการท้าทายที่จะต้องพิสูจน์ว่าตนไม่ใช่ “หุ่นเชิดของสหรัฐอเมริกา” ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะทำได้ในเมื่อยังมีทหารต่างชาติ 150,000 คนอยู่ในประเทศอิรัก (Japan Time, July 27, 2004)
อนาคตของอิรัก
หลังจากเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า อิรักมิได้มีอาวุธทำลายร้ายแรง ตามที่ผู้นำสหรัฐอเมริกาและอังกฤษกล่าวอ้าง ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางทั้งในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ตลอดจนในประชาคมโลกว่า ผู้นำสหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้กล่าวอ้างภัยคุกคามของอิรักยุคซัดดัมอย่างเกินความจริง รวมทั้งการอ้างหลักฐานเท็จเพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำสงครามในอิรักดังกล่าวแล้ว ถึงกระนั้น ผู้นำสหรัฐอเมริกาและอังกฤษรวมทั้งคนอีกจำนวนไม่น้อยในประเทศตะวันตก ก็ยังมีความเห็นว่า การใช้กำลังโค่นล้มอำนาจเผด็จการของซัดดัมลงได้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว ทั้งนี้เพราะค่านิยมของตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน (human rights) เศรษฐกิจแบบตลาด และหลักนิติธรรม (rule of law) เป็นค่านิยมสากล ฉะนั้น การใช้กำลังต่อประเทศอิรักเพื่อส่งเสริมค่านิยมเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ชอบธรรมอย่างยิ่ง ความเห็นในทำนองนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญอย่างน้อยสองประการด้วยกันคือ
  • ประการแรก มีประเทศในตะวันออกกลางหลายประเทศที่เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นประเทศที่ยอมให้สหรัฐอเมริกาใช้ฐานทัพของตน เช่น ซาอุดิอาระเบีย คูเวต บาห์เรน กาตาร์ เป็นต้น ซึ่งมีปัญหาในการฝ่าฝืนค่านิยมตะวันตกไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า “ระบอบซัดดัม” แต่เหตุใดสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรจึงมิได้ใช้กำลังโค่นล้มผู้นำของประเทศเหล่านี้ และเปลี่ยนระบอบการปกครองให้เหมือนกับที่สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรต้องการสร้างขึ้นในอิรักหลังจากโค่นล้มซัดดัมไปแล้ว
  • ประการที่สอง การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในประเทศใดโดยกองกำลังต่างชาติ จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายในการสร้างประชาธิปไตยได้หรือไม่ โดยเฉพาะในอิรักซึ่งมีเงื่อนไขภายในประเทศที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตยได้อย่างฉับพลัน
จากประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ในกรณีของญี่ปุ่นและเยอรมนียุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่สามารถมีการปกครองแบบประชาธิปไตยได้อย่างค่อนข้างมั่นคงนั้น เป็นผลมาจากวิวัฒนาการทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจภายในของญี่ปุ่นและเยอรมนีมากกว่าจะเป็นผลมาจากการยึดครองของสหรัฐอเมริกา และการยึดครองญี่ปุ่นและเยอรมนีของสหรัฐอเมริกาภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ เป็นการยึดครองที่ปราศจากการต่อต้านของประชาชนทั้งสองประเทศนี้ เพราะยอมรับว่าประเทศตนเป็นฝ่ายรุกราน
ในขณะเดียวกันยังมีประเทศที่ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบเผด็จการมาเป็นประชาธิปไตยโดยที่ไม่ถูกแทรกแซงจากต่างประเทศหลายประเทศ เช่น ในยุโรปตะวันออก ได้แก่  โรมาเนีย โปแลนด์ เชโกสโลวะเกีย ฯลฯ ในภูมิภาคเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจีน) และไทย เป็นต้น ประเทศเหล่านี้ขณะที่มีการปกครองโดยระบอบอำนาจนิยมก็ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสหรัฐอเมริกา
ในกรณีอิรัก เมื่อสหรัฐอเมริกาและอังกฤษส่งกำลังทหารเข้าไปถล่มอิรัก ไม่มีกลุ่มพลังใดที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นพลังประชาธิปไตยที่สามารถลุกฮือขึ้นมาปฏิวัติโค่นล้มซัดดัม หรือสามารถผนึกกำลังกันสร้างระบบประชาธิปไตยใหม่ในอิรักได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสาเหตุสำคัญมาจาก การที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้ให้การสนับสนุนซัดดัม เพื่อให้ซัดดัมปราบปรามบรรดาพวกฝ่ายค้านทั้งหลายในช่วงทศวรรษ 1980 มหาอำนาจทั้งสองประเทศนี้แน่ใจว่า ซัดดัมจะสามารถปราบกลุ่มต่อต้านเหล่านี้ได้อย่างราบคาบ และนับตั้งแต่อิรักบุกเข้ายึดครองคูเวตในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2533 และพ่ายแพ้แก่กองทัพพันธมิตร ซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาในนามของสหประชาชาติในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2534 เป็นต้นมา ประชาชนอิรักต้องเผชิญต่อความอดอยากอย่างสาหัส อีกทั้งโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมของประเทศได้รับความเสียหายอย่างยับเยินจากการถูกแซงก์ชั่นโดยสหประชาชาติเป็นเวลานานถึง 12 ปี ใครจะรู้ว่าหากปราศจากการแทรกแซงที่สร้างความหายนะดังกล่าวนี้แล้ว การรวมกลุ่มพลังประชาธิปไตยและพลังของฝ่ายค้านแม้จะอยู่ระหว่างยุคเผด็จการของซัดดัมก็ตาม อาจจะประสบความสำเร็จก็ได้ เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในหลายประเทศที่กล่าวเป็นตัวอย่างแล้ว
ในอนาคต อิรักจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ยังตอบไม่ได้แน่ชัด ในขณะนี้ เท่าที่ผ่านมาไม่มีประเทศใดตอบได้ด้วยความมั่นใจ แต่ผลที่สุดแล้วชาวอิรักเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของตนเอง ไม่ใช่มหาอำนาจเช่น สหรัฐอเมริกา หรืออังกฤษ หรือประเทศอื่นใด



ที่มา   http://www.baanjomyut.com

1 ความคิดเห็น:

  1. 10 ปีที่กองทัพสหรัฐฯ บุกโค่นล้มระบอบซัดดัม ช่วยสถาปนารัฐประชาธิปไตยอิรัก พบว่าจนบัดนี้อิรักยังไม่ได้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง กลายเป็นรัฐล้มเหลวที่ประกอบด้วยหลายกลุ่มอำนาจที่พยายามแย่งชิงผลประโยชน์ ก่อให้เกิดคำถามมากมายว่าอิรักในวันนี้ดีกว่ายุคซัดดัมหรือไม่ อะไรคือการปกครองที่ดี

    http://www.chanchaivision.com/2013/12/Iraq-Democracy-in-Transition-131221.html

    ตอบลบ